ชีวิตไม่ธรรมดาของนักบุญโจน ออฟ อาร์ค
นักบุญโจน ออฟ อาร์ค คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา สิ้นชีพเมื่ออายุเพียง 19 ปี เธอเป็นแบบอย่างความนอบน้อมต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเธอไม่ยอมรับภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ ในการปกปักรักษาประเทศฝรั่งเศสในครั้งกระโน้น ชะตากรรมของชาวโลกทั้งมวลคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสถึงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ว่า “นักบุญโจน ออฟ อาร์ค นักบุญสาวผู้มีชีวิตในช่วงปลายยุคกลาง มีอายุเพียง 19 ปี ในปี ค.ศ. 1431 นักบุญชาวฝรั่งเศสท่านนี้ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก เธอมีความพิเศษใกล้เคียงกับนักบุญแคทเธอรีนแห่งเซียอานา องค์อุปถัมภ์ของอิตาลีและยุโรป
เธอทั้งสองเป็นหญิงสาวของประชาชน เป็นสตรีฆราวาสผู้อุทิศตน ถือพรหมจารย์ ใช้ชีวิตเฉกเช่นนักพรตผู้ถวายตนทั้งครบเพื่อพระเจ้า แม้ไม่ได้อยู่ในอาราม แต่อยู่ท่ามกลางความเป็นจริงของพระศาสนจักร และของโลกในสมัยนั้นที่ท่านทั้งสองเป็นตัวแทน “สตรีผู้กล้าหาญ” ซึ่งกล้าถือแสงแห่งพระวรสารอันยิ่งใหญ่ ส่องสว่างแก่เหตุการณ์ที่ซับซ้อนและสับสนในประวัติศาสตร์ช่วงปลายของยุคสมัยกลาง
พระศาสนจักรในช่วงเวลานั้นดำเนินไปพร้อมกับวิกฤติความแตกแยกร้าวลึกในโลกตะวันออกซึ่งกินเวลายาวนานถึง 40 ปี ในปี 1380 เมื่อแคทเธอรีนแห่งเซียอานาสิ้นชีวิต ไม่เพียงแต่มีพระสันตะปาปาพระองค์เดียว แต่ยังพระสันตะปาปาปลอมด้วย (แอนตี้โป๊ป) นอกจากความวุ่นวายสับสนภายในพระศาสนจักรแล้ว ยังมีสงครามยืดเยื้อเป็นร้อยๆ ปีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษที่รุนแรงและหนักหนามา
โจนเกิดที่บ้านดอมเรมี หมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ตรงชายแดนระหว่างฝรั่งเศสกับลอแรน พ่อแม่เธอเป็นชาวชนบทที่มีฐานะ และเป็นคริสตชนที่ดี ศรัทธา ทำให้เธอได้รับการเลี้ยงดูในบรรยากาศของศาสนาและเชื่อในคำสอนของพระเยซูเจ้า ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วเธอได้แสดงความรักเมตตาต่อผู้ยากจน คนป่วย และผู้ได้รับความทุกข์ร้อนจากภาวะสงคราม
เราได้ทราบจากปากของโจนเองเกี่ยวกับชีวิตความเลื่อมใสในศาสนาของเธอ ซึ่งพัฒนาเป็นประสบการณ์รหัสธรรม ในช่วงอายุ 13 ปี ผ่านทาง “เสียง” ของอัครเทวดามีคาแอล โจนรู้สึกว่าตนเองได้รับเรียกจากพระเจ้า ให้ดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเข้มข้น และอุทิศตนเป็นคนแรกที่ปลอดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระ การตอบเสียงเรียกเป็นการถือปฏิญาณความบริสุทธิ์ ด้วยคำมั่นสัญญาที่จะถือชีวิตศักดิ์สิทธิ์และภาวนาร่วมพิธีบูชามิสซาทุกวัน รับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทบ่อยๆ และใช้เวลานานสวยภาวนาเงียบๆ ต่อหน้าพระรูปพระเยซูบนไม้กางเขนและพระรูปของพระแม่มารีย์
ตั้งแต่เริ่มต้นปี 1429 โจนเริ่มงานด้านเสรีภาพ พยานหลายคนชี้ให้เห็นว่า หญิงสาวอายุเพียง 17 ปี เป็นผู้ที่มุ่งมั่นเข้มแข็งมาก สามารถสร้างความมั่นใจแก่ผู้ที่ขลาดกลัว และเอาชนะอุปสรรค์ทั้งหลายที่จู่โจมเข้ามา เธอได้พบกับมกุฎราชกุมารของฝรั่งเศส กษัตริย์ชาร์ลส ที่ 7 ในอนาคต ซึ่งส่งตัวเธอให้กับพวกนักเทววิทยา เพื่อสอบสวน บรรดาอาจารย์เหล่านี้แสดงความเห็นด้านบวกเกี่ยวกับเธอโดยบอกว่าเธอไม่มีความผิดอันใด เป็นเพียงคริสตชนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1429 โจนได้ส่งสาส์นสำคัญถึงกษัตริย์อังกฤษและไพร่พลทหารที่กำลังปิดล้อมเมืองออร์เลออง (Orleans) อยู่คือข้อเสนอสันติภาพที่ยุติธรรมแท้จริงระหว่างพี่น้องคริสตชนทั้งสองฝ่ายในนามของพระเยซูเจ้าพระแม่มารีย์ แต่ถูกปฏิเสธ และโจนต้องออกมาต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเมือง และจุดสูงสุดในภารกิจทางการเมืองของเธอคือ การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าชาร์ลส ที่ 7 ที่เมือง แรงส์ (Reim) ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1429
โจน ออฟ อาร์ค อาศัยอยู่กับเหล่าทหาร แพร่ธรรมข่าวดีแห่งพระวรสารแก่พวกเขา หลายคนได้เห็นประจักษ์ถึงความดี ความกล้าหาญ และความบริสุทธิ์ของเธอ ในปีถัดมา โจนตกในเงื้อมมือของศัตรูและถูกจองจำ เธอถูกนำไปยังเมืองรูออง ซึ่งใช้เป็นที่สอบสวน ประณามและลงโทษเธอ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – 30 พฤษภาคม 1431 ผลการตัดสินคือ เธอถูกมัดกับเสาแล้วเผาทั้งเป็น
เบื้องหลังการตัดสินนี้ถูกบงการโดยบรรดานักเทววิทยาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด พวกเขาเป็นนักบวชชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีความคิดเห็นทางการเมืองตรงข้ามกับโจนอยู่แล้ว ทั้งแนวคิดและภารกิจของเธอ การสอบสวนครั้งนี้ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์อันขมขื่นและเป็นแสงสว่างรหัสสธรรมของพระศาสนจักร ดังถ้อยคำของสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งกล่าวว่า “ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมจำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เสมอ” (Lumen Gentium2)
โจนถูกกล่าวหาและตัดสินว่ากระทำผิด และถูกลงโทษให้นำไปเผาไฟให้ตาย พวกนักเทววิทยาเหล่านี้ ขาดความเมตตาและความสุภาพอ่อนน้อม ที่จะมองเห็นกิจการของพระเจ้าผ่านทางหญิงสาวคนนี้ พระวาจาของพระเจ้าที่ว่า รหัสธรรมของพระเจ้าเผยแสดงแก่ผู้มีจิตใจเหมือนเด็กๆ บรรดาผู้พิพากษาของ ของโจนไม่สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความงามของดวงจิต พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังประณามลงโทษนักบุญ
คําอุธรณ์ของโจนถึงพระสันตะปาปานี้วันที่ 24 พฤษภาคม ถูกปฏิเสธโดยศาลยุติธรรม วันที่ 30 พฤษภาคม เธอได้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งสุดท้ายในคุกและทันที จากนั้นก็ถูกนำไปลงโทษที่จัตุรัสตลาดเก่า เธอขอร้องให้พระสงฆ์องค์หนึ่งผูกกางเขนไว้ที่ด้านหน้าหลักประหาร จากนั้นเธอก็สิ้นใจ ตาเธอจ้องมองที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและร้องออกพระนามพระองค์หลายครั้ง หลักฐานต่างๆ ของพยานและความคิดเห็นของนักเทววิทยาหลายคน ต่างลงความเห็นให้ความดีความชอบแก่โจน ซึ่งเป็นแสงสว่างความบริสุทธิ์ ความภักดีต่อพระศาสนจักรอย่างสิ้นสุดใจของเธอ โจน ออฟ อาร์คได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ในปี ค.ศ. 1920
พระนามของพระเยซูที่บรรดานักบุญเรียกหาจนวาระสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ เป็นเสมือนลมหายใจต่อเนื่องในดวงจิตของเธอ รหัสธรรมแห่งความรักของ โจน ออฟ อาร์ค น่าพิศวงนัก พระเยซูเจ้าทรงได้รับการสรรเสริญตามคำยืนยันอันงดงามของเธอคือ “เราต้องรับใช้พระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด” การรักพระองค์หมายถึงการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เธอประกาศด้วยความไว้วางใจและยอมสยบอย่างสิ้นเชิง “ว่าฉันขอมอบความไว้วางใจแด่พระเจ้าพระผู้สร้าง ฉันรักพระองค์และด้วยสิ้นสุดจิตใจ” ด้วยการปฏิญาณความบริสุทธิ์ โจนถวายตัวเองทั้งครบแด่ความรักหนึ่งเดียวขององค์พระเยซูเจ้า เป็นคำสัญญาที่เธอกระทำเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอไว้อย่างดีที่สุด
ความบริสุทธิ์แห่งวิญญาณเป็นสภาพชีวิตแห่งพระหรรษทาน เป็นคุณค่าความสูงล้ำที่เธอถือว่ามากกว่าชีวิตเธอเองเสียอีก คือของขวัญจากพระเจ้าที่ต้องถนอมรักษาไว้ด้วยความสุภาพ และไว้วางใจ เธอถูกถามว่าเธอรู้แน่หรือว่านั่นคือพระหรรษทานของพระเจ้า เธอตอบว่า “ถ้าดิฉันเป็นไม่เช่นนั้น ขอพระเจ้าโปรดให้ดิฉันเป็นเช่นนั้นด้วยเถอะ แต่ถ้าดิฉันเป็นเช่นนั้นแล้วขอพระองค์โปรดดูแลให้ดิฉันเป็นเช่นนั้นต่อไปเทอญ”
นักบุญโจน ออฟ อาร์ค เจริญชีวิตภาวนา สนทนาอย่างต่อเนื่องกับพระเจ้าผู้ทรงส่องสว่าง การสนทนาโต้ตอบกับผู้พิพากษา และโปรดให้เธอมีความมั่นคงและสันติในจิตใจ เธอทูลถามพระองค์ด้วยความวางใจว่า “พระองค์ผู้ทรงอ่อนหวานยิ่ง เพื่อน้อมถวายเกียรติแด่พระมหาทรมานของพระองค์ ดิฉันขอทูลถาม หากพระองค์ทรงรักดิฉัน โปรดแสดงให้ดิฉันรู้ว่าจะต้องตอบคนของพระศาสนจักรเหล่านี้อย่างไรดี” โจนมองพระเยซูเจ้าเป็น “กษัตริย์แห่งสวรรค์และแผ่นดิน” ดังนั้นเธอจึงได้วาดภาพ “พระเยซูเจ้าทรงถือลูกโลก” เป็นตราสัญลักษณ์ภารกิจด้านการเมืองของเธอ ในการปลดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระเป็นงานเพื่อความยุติธรรมด้วยจิตเมตตา อันเป็นผลจากความรักที่มีต่อพระเยซูเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ของเธอเป็นแบบอย่างอันดียิ่งสำหรับคริสตชนฆราวาส ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเหตุการณ์วิกฤติ ความเชื่อเป็นแสงสว่างนำทางการตัดสินใจ ดังเช่นหนึ่งศตวรรษต่อมา โทมัส มอร์ นักบุญชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป
ในพระเยซูเจ้า โจนได้ตระหนักถึงความจริงของพระศาสนจักรคือ “เป็นพระศาสนจักรที่ได้รับชัยชนะ” ในสวรรค์เช่นเดียวกับ “พระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้” บนโลกนี้ โจรมีคุณลักษณะเป็นวีรสตรีอย่างแท้จริง ในการไต่สวนลงโทษและยืนต่อหน้าผู้พิพากษาที่เป็นคนของพระศาสนจักรและกำลังกล่าวหาพิจารณาตัดสินลงโทษเธอ โจนได้ค้นพบพละกำลังในความรักของพระเยซูเจ้า เพื่อที่จะรักพระศาสนจักรจนถึงที่สุด แม้กระทั่งจนวาระสุดท้ายของการอ่านคำตัดสินลงโทษประหารชีวิตเธอ
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู ซึ่งใช้ชีวิตในอารามนักพรตคาร์เมไลท์แห่งลีซีเออร์ ในยุคสมัยและบริบทชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ท่านได้รับแรงบันดาลใจและรู้สึกใกล้ชิดกับนักบุญโจน ออฟ อาร์ค โดยมีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า เพื่อความรอดของโลก ครั้งหนึ่งท่านไดเคยแสดงละครเป็นนักบุญโจน ออฟ อาร์ค ด้วย
พระศาสนจักรได้ยกย่องให้ทั้งสองเป็นองค์อุปถัมภ์ของประเทศฝรั่งเศส นักบุญเทเรซาแสดงออกถึงความปรารถนายอมตายเช่นเดียวกับนักบุญโจน ด้วยการเรียกขานพระนามของพระเยซูเจ้าและได้รับแรงจูงใจจากความรักอันยิ่งใหญ่ต่อองค์พระเยซูเจ้าและเพื่อนมนุษย์ โดยเจริญชีวิตเป็นพรหมจารีถวายตนแด่พระเจ้า
การเป็นสักขีพยานอันรุ่งโรจน์ของนักบุญโจน ออฟ อาร์ค เชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตคริสชนด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้น ให้การภาวนาเป็นแรงผลักดันนำทางชีวิตของเราในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเจริญชีวิตด้วยจิตเมตตาปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง ให้โดยเสมอภาคและไม่มีขอบเขตด้วยความรักที่มีต่อพระเยซูเจ้าและต่อพระศาสนจักร
บทความจากนิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 207 หน้า 11-14