บ้านหลังสุดท้ายของพระนางมารีย์...บนแผ่นดินนี้
พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรง ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนางมารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน (ยน 19 : 25-27)
ข้อความข้างต้นเป็นเรื่องราวจากพระวรสารนักบุญยอห์น ตอนที่พระเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมารดาของพระองค์ และยอห์น อัครสาวกที่พระองค์ทรงรัก จึงฝากฝังให้ยอห์น ดูแลพระมารดาของพระองค์ บรรดาผู้สืบเสาะหาความจริงต่างลงความเห็นว่า… ยอห์นผู้เป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ได้รับเอาพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าไปอาศัยอยู่บ้านของตน
นอกจากนั้น ภายหลังพระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว บรรดาสาวกก็แยกย้ายกันไปประกาศข่าวดี โดยมุ่งสู่เมืองใหญ่ ๆ ในแถบเอเชียน้อย เช่นแคว้นกาลาเทีย โคโลสี เอเฟซัส ส่วนยอห์นผู้เป็นอัครสาวก ก็มุ่งสู่เมืองเอเฟซัส ท่านได้ทำพันธกิจ และประกาศข่าวดีที่เมืองนี้ จนมีข่าวเล่าลือสืบต่อกันมาว่า ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ “พระศาสนจักรแห่งเอเฟซัส” ทั้งท่านได้ใช้เวลาในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ที่เมืองนี้จนถึงแก่กรรมที่นี่ และเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าท่านได้นำพระแม่มารีย์มาพำนักอยู่ที่นี่ด้วย ท่านถึงแก่กรรมประมาณปี ค.ศ. 100
แล้วบ้านหลังที่พระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าพำนักนั้น ตั้งอยู่ที่ใด เริ่มจากนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ เคลเมนท์ เบรนตาโน ได้ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สารานุกรมทางคริสต์ศาสนา มานานถึง 5 ปี จนได้หลักฐานชี้วา พระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า อาศัยอยู่ในเมืองเอเฟซัส แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่จุดใด
ในปี ค.ศ. 1791 กลุ่มนักบวชคณะออกัสติน ได้สืบค้นหาบ้านของพระนางมารีย์ โดยย้อนรอยจากเส้นทางแพร่ธรรมของบรรดาอัครสาวก เริ่มจากชานเมืองเอเฟซัส ไปตามถนนเก่าแก่ ที่ตัดผ่านเมืองเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยเสาหินโบราณสีขาวแบบโรมัน และอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม ซึ่งได้พบว่าห่างออกไปพอประมาณ มีเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งมีชื่อว่า “เนินเขาบุลบุล”
บนเนินเขานั้นพบบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า “มารีย์ อีมานา กุลตูร์ ปาร์กี” ชาวบ้านแถวนั้นเชื่อกันว่า เป็นบ้านที่พระนางมารีย์พำนักอยู่ในบั้นปลายชีวิตโดยลักษณะของตัวบ้าน ก่อด้วยหิน ถ้ามองจากเบื้องบนลงมา จะเห็นรูปทรงบ้านเป็นรูปไม้กางเขน แต่ตัวอาคารที่พบเห็นในปัจจุบันนั้น ถูกต่อเติมขึ้นใหม่ จากการตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ พบว่าหินที่นำมาก่อสร้าง มีอายุย้อนไปถึง ค.ศ. 6
ส่วนฐานหินมีอายุประมาณศตวรรษที่ 1 จึงพอเข้าเค้าความจริงอยู่บ้าง แต่หากมองเรื่องราวเหล่านี้โดยอาศัยความเชื่อ ก็จะทำให้เราได้เข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซูเจ้า ชีวิตของพระนางมารีย์ และบรรดาศิษย์ของพระองค์
ปัจจุบันเมืองเอเฟซัส อยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศตุรกี ส่วนบ้านหลังสุดท้ายของพระนางมารีย์ ก็ได้ถูกดัดแปลงเป็นสักการสถาน ของเหล่าผู้จาริกแสวงบุญ สถานที่ซึ่งใช้เพื่อสวดภาวนา และวิงวอนขอต่อพระนางมารีย์ ที่นำมาซึ่งความหวัง ความเชื่อ ความรัก และศรัทธา ที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับชีวิตคริสตชน และผู้ที่มาเยือน