พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส
เมืองซีรากูซา หรือ ซีรากุส (Syracuse) เป็นเมืองอยู่ในเกาะซิซิลี (Sicily) ทางใต้ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1953/พ.ศ. 2496 กรรมกรคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง อายุ 27 ปี ชื่อ อันเจโล ยานุสโซ (Janusso) แต่งงานกับ น.ส. อันโตนีนา จุสโต (Giusto) อายุ 20 ปี ในบรรดาของขวัญที่สองสามีภรรยาได้รับในวันแต่งงาน มีรูปแม่พระชี้ให้ดูดวงหทัยนิรมล เป็นรูปกลมรีทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ผู้ที่ให้ของขวัญชิ้นนี้คือ อันโตนีโอ น้องชายของ อันเจโล
อันโตนีนา มิใช่คนศรัทธาในเรื่องศาสนานัก ส่วนอันเจโลก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ในประเทศอิตาลีนั้น ใครๆก็ชอบมีรูปแม่พระไว้ในบ้าน ดังนั้นสองสามีภรรยที่แต่งงานใหม่ จึงแขวนรูปแม่พระที่อันโตนีโอให้ไว้ใกล้ ๆ เตียง
ต่อมาเดือนสิงหาคม อันโตนีนาตั้งครรภ์ แต่การคลอดจะเป็นไปตามปกติหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากอันโตนีนาป่วยเป็นโรคลมชักบ่อยๆ ทำให้หมดสติ มองไม่เห็นและพูดไม่ได้ชั่วขณะ บางครั้งสภาพป่วยของภรรยาทำให้อันเจโลเดือดดาล แล้วเขาก็หันไปโทษรูปแม่พระซึ่งแขวนอยู่ที่กำแพง อยากจะทุบให้แตกๆเสีย คืนวันที่ 29 สิงหาคม อาการของอันโตนีนากำเริบขึ้นอย่างน่ากลัว วันต่อมา อันเจโลต้องไปทำงาน จึงฝากภรรยาไว้กับน้องสะใภ้ชื่อกราเซีย (Grazia) เป็นภรรยาของน้องชายชื่อยูเซ็ปเป้
ราว 8.30 น. อันโตนีนาเริ่มทุเลาจากอาการชัก ซึ่งเป็นมาอย่างรุนแรงได้ 6 ช.ม.แล้ว เธอเริ่มมองเห็นชัด พลางกวาดสายตาไปทางรูปแม่พระก็บอกว่าเห็นน้ำตาไหลออกจากรูปปูนปลาสเตอร์นั้น กราเซีย น้องสะใภ้กับนางกอนแซ็ตตาแม่ของกราเซียคิดว่าเธอเพ้อ แต่เมื่อดูรูปแม่พระก็ตกใจ เห็นว่าน้ำตาคลออยู่ที่นัยน์ตาของรูปปั้นนั้น และไหลออกมาอย่างเนืองนอง
หญิงทั้งสองคุกเข่าลง แล้วร้องเรียกหญิงเพื่อนบ้าน มิช้าห้องน้อยๆของอันโตนีนา ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ละคนสามารถมอง พิจารณาอัศจรรย์ที่เกิดได้ น้ำตาของแม่พระไหลจนเปียกหมอนและผ้าปูที่นอน ต่อมาผู้ชายหลายคนก็มาถึงแสดงอาการไม่เชื่อ แต่ครู่เดียวก็ตกตะลึง เมื่อเห็นมหัศจรรย์ จึงคุกเข่าลงพลางสวดภาวนาด้วย
ต่อมาไม่นาน ถนนที่สองสามีภรรยาตระกูลยานุสโซอาศัยอยู่ ก็มีฝูงชนหลั่งไหลมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ละคนอยากมองให้เห็นกับตา จนเมื่อยูเซ็ปเป ยานุสโซกลับมาถึงบ้านต้องนึกถามในใจว่าเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นกับพวกพ้องของตน แต่เมื่อได้เห็นอัศจรรย์ เขาก็สวดด้วยแล้วไปบอกอันเจโล
ฝ่ายอันเจโลเมื่อได้ยินพูดถึงน้ำตาแม่พระ ก็เกรงว่า น้ำตาคงหมายถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับภรรยาป่วยของเขา แต่เมื่อกลับถึงบ้านเขาต้องตกตะลึง เห็นภรรยายืนอยู่สุขภาพสมบูรณ์ เขาคุกเข่าลงพนมมือ : “เหตุไรจึงร้องไห้ ข้าแต่พระแม่เจ้า เหตุไรจึงร้องไห้?”
จนถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงชนอยากเพ่งมองชมดูรูปปั้นที่ร้องไห้อย่างผิดปกติธรรมดา รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ฝูงชนก็ยังหลั่งไหลมาดูเหตุการณ์มหัศจรรย์ในความควบคุมของตำรวจ คนสอดรู้สอดเห็น คนเคลือบแคลงสงสัย ตลอดจนคนไม่เชื่อ ปะปนมากับคนที่มีความเชื่อ แต่แล้วทุกคนต้องยอมรับความจริงที่เห็นต่อหน้า: พระแม่เจ้าทรงกันแสงจริง!
แล้วทุกคนก็เริ่มร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจด้วย แม้ใจที่แข็งกระด้างที่สุดก็อ่อนลง และนักอเทวนิยมก็เริ่มภาวนา บางคนก็ใช้สำลีเก็บน้ำตาของพระแม่เจ้า ซึ่งบางครั้งบางคราว ก็หยุดร้องไห้แล้วก็เริ่มอีก…วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม เขานำรูปแม่พระไปวางไว้ที่ถนน เพื่อให้ทุกๆคนเห็น
พระอัครสังฆราชบารันซินี (Baranzini) ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ตัดสินใจในทันทีให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน วันที่ 1 กันยายน นายแพทย์หลายคน พระสงฆ์องค์หนึ่ง นักเคมีคนหนึ่ง กับทหารหลายคน พิจารณารูปปั้นปูนปลาสเตอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ปูนปลาสเตอร์ของรูปปั้น เมื่อถูกน้ำไม่ละลายเลย จะใช้อุบายอะไรหลอกลวงก็ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้หลอดที่ฆ่าเชื้อแล้วเก็บน้ำตาที่ยังไหลอยู่ เมื่อเก็บน้ำตาดังนี้ได้ 19 หยดแล้ว พระแม่เจ้าก็หยุดร้องไห้ไปเลย ส่วนน้ำตาที่เก็บได้นั้นมีประมาณ 1 ลบ.ซม. เขาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ปรากฏว่าเป็นสารที่เหมือนกับน้ำตามนุษย์อย่างแท้จริง!
เมื่อได้รับความมั่นใจ พระอัครสังฆราชพร้อมด้วยนายกเทศมนตรีเมืองซีรากูซา ก็พากันมาถวายสักการะพระรูปแม่พระ โดยเฉพาะเมื่อการหายจากโรคและการกลับใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้น วันที่ 19 กันยายน พระคุณเจ้าบารันซินีเอง นำพระรูปมาไว้บนแท่นหินอ่อนที่ตั้งขึ้นบนสนามเออรีปิด เพื่อให้ใคร ๆ เคารพ