วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เวลา 11.00 น. เครื่องบิน บี29 ของสหรัฐอเมริกา ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 44,000 ราย และผู้คนอีกประมาณกว่า 40,000 ราย เสียชีวิตในอีกสี่เดือนถัดมา เพราะผลของกัมมันตภาพรังสีจากแรงระเบิดครั้งนั้น
เช้าวันนั้น Dr. Paul Takashi Nagai (ค.ศ. 1908 – 1951) นักรังสีวิทยาและคณบดีคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนางาซากิ กำลังทำงานอยู่อีกฟากหนึ่งของสันเขา ซึ่งไม่ไกลกันนักกับศูนย์กลางการระเบิด และบริเวณเหนือขุนเขานั้น คือที่ตั้งของชุมชนคาทอลิกขนาดใหญ่
แรงระเบิดส่งผลโดยตรงกับชุมชนคาทอลิกบนยอดเขา เขตคาทอลิกนางาซากิมีความสำคัญมากสำหรับพระศาสนจักรในตะวันออกไกล ในปี ค.ศ. 1945 มีคาทอลิกมากกว่า 12,000 คน เกือบทั้งหมดเสียชีวิตเพราะแรงทำลายล้างของระเบิด ณ บริเวณศูนย์กลางการระเบิดเป็นที่ตั้งของอาสนวิหารพระนางมารีย์ ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยคริสตชนผู้มีความเชื่อ ซึ่งกำลังต่อแถวรอรับศีลอภัยบาป สำหรับการเตรียมฉลองวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ที่ใกล้มาถึง
บ้านของ Dr. Nagai อยู่ไม่ไกลจากอาสนวิหาร เขารีบกลับมาที่บ้าน และได้พบเพียงถองเถ้าถ่านและชิ้นส่วนของกระดูก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา เขารู้ว่านั่นคือชิ้นส่วนที่เหลือของมิโดริ ภรรยาสุดที่รัก มือที่โผล่พ้นกองเถ้าถ่าน เขามองเห็นแสงบางอย่างกระจายออกมา คือ สายประคำและกางเขน เขารวบรวมเถ้าถ่านบรรจุไว้ในกล่อง และขณะที่เดินไปยังสุสาน เขาได้ยินเสียงสายประจำที่กระทบกับกางเขน ดุจแว่วเสียงของของภรรยาผู้ล่วงลับกระซิบแผ่วเบาว่า “จงมีความหวัง”
ให้เราได้ไตร่ตรองถึงเสียงกระซิบแห่งความหวังที่ Dr. Nagai ได้ยิน และร่วมกันภาวนาเพื่อผู้ล่วงลับทุกคนที่ตกเป็นเหยื่อระเบิดปรมาณู ที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ขอให้ความเจ็บปวดของพวกเขาเตือนใจเรา และให้ความทุกข์เหล่านั้นได้เป็นดอกไม้แห่งความหวังถึงความยุติธรรมและสันติภาพที่แท้จริงของโลก ณ ที่ซึ่งปราศจากสงครามและการใช้อาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง