นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 257
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 257 ปีที่ 43 เดือนกันยายน – ตุลาคม 2024/2567
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 257 ปีที่ 43 เดือนกันยายน – ตุลาคม 2024/2567
สายประคำให้พลังแก่เรา เมื่อยังเป็นเด็ก ดิฉันเคยสวดสายประคำพร้อมกัน ทั้งครอบครัวทุกวัน ดิฉันไม่มีกิจศรัทธาพิเศษใด ๆ ในเวลานั้น แต่เรามักลงท้ายแต่ละวันด้วยการร่วมกันสวด สายประคำ โดยมีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่น้องอยู่กัน พร้อมหน้า แต่เมื่อดิฉันมาเข้าอาราม ดิฉันเริ่มเข้าใจ คุณค่าของสายประคำ ดิฉันรับรู้ด้วยว่าผู้ก่อตั้ง คณะของเรา คือ คุณพ่อ เจมส์ อัลเบอริโอน (ซึ่งได้รับ แต่งตั้งเป็นบุญราศีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2003) มีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อสายประคำ ท่านบอกว่า ถ้าปราศจากสายประคำ ท่านรู้สึกว่าไม่สามารถ ตักเตือนสั่งสอนใครได้ ท่านสนับสนุนเรา ผู้เป็นธิดา ของท่าน ให้สวดสายประคำเป็นประจำ ดิฉันจึงเริ่มรัก การสวดสายประคำ และเริ่มนำสายประคำติดตัว ไปทุกที เมื่อมีสายประคำอยู่ในมือ ดิฉันเชื่อมั่นว่า พระนางมารีย์จะทรงพิทักษ์คุ้มครองดิฉัน อันที่จริง ถ้าดิฉันออกไปนอกบ้านโดยไม่มีสายประคำ ดิฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือรู้สึกว่าลืมบางสิ่งที่มีค่าสำหรับดิฉัน ดิฉันขอเล่าสามเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันได้สัมผัสกับอานุภาพ ครั้งหนึ่ง พวกเราสองคนกำลังไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่ ๆ หลายแห่ง พร้อมกับนำหนังสือไปด้วย…
คนงานเหมืองในชิลี 33 คน รอดตายเพราะสายประคำ ในช่วงสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในประเทศชิลี ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ และหลายคน ไม่ทราบว่าสายประคำมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ อันเหลือเชื่อนี้ ในเดือนสิงหาคม 2010 มีรายงานข่าวทั่วโลก เล่าเรื่องราวชะตากรรมของคนงานเหมือง 33 ราย ที่ติดอยู่ใต้พื้นดินลึก 2,300 ฟุต ในเหมืองแห่งหนึ่ง ของประเทศชิลี ในขณะที่รายงานข่าวประจำวัน ดำเนินต่อไป ทั้งโลกต่างเฝ้าดูสิ่งที่ดูเหมือนเป็น สถานการณ์ที่สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง ความพยายามที่จะ ติตต่อกับคนงานเหมืองเหล่านั้นทุกวิถีทางล้มเหลว พวกเขาขาดแคลนเสบียงและกำลังจะตาย แต่หลังจากผ่านไป 17 วัน มีเรื่องน่าทึ่งและ สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งโลก พวกเขา สามารถติดต่อกับคนงานเหมืองได้ วิศวกรสามารถ เจาะเพลาเล็กๆ ลงไปถึงบริเวณที่คนงานเหมือง ติดอยู่ใต้อย่างแม่นยำ ผ่านปล่องเล็กๆ นี้เองที่อาหาร น้ำ และเสบียงอื่นๆ สามารถถูกส่งลงไปยังคน ที่ติดอยู่ได้ แม้ว่าการช่วยเหลือยังไม่สิ้นสุด เพื่อที่จะ ช่วยชีวิตพวกเขา จำเป็นต้องเจาะเพลาที่ใหญ่กว่า มาก เพื่อให้สามารถนำพวกเขาขึ้นมาได้ทีละคน เรื่องนี้ต้องมีปาฏิหาริย์แน่ๆ …
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 256 ปีที่ 43 เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2024/2567
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 255 ปีที่ 43 เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2024/2567
แม่พระเสด็จเยี่ยม “หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์ และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธ ได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธ ได้รับพระจิตเต็มเปี่ยมร้อง เสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอ พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอบุตร ในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอจะเป็นจริง” พระนางมารีย์ตรัสว่า วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อย ของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไปชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำ กิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางอลิซาเบธประมาณสามเดือน จึงเสด็จกลับ (ลก 1:39-56) เมื่อทูตสวรรค์มาเยี่ยมแม่พระโดยไม่คาดฝัน พระนางนั่งอยู่ที่นาซาเร็ธ ในความยากจน ไม่เป็นที่รู้จัก เป็นสตรีผู้มีใจสุภาพ อุทิศตนแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล เราไม่รู้ประวัติในวัยต้นของพระนาง แต่เป็นที่…
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ปีที่ 43 ฉบับที่ 254 เดือนมีนาคม – เมษายน 2024/2567
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 253 ปีที่ 43 เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2024/2567
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 252 ปีที่ 42 เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2023/2566
วัดแม่พระตั๊กแตน อาคารเล็ก ๆ ที่มีลักษณะเหมือนวัดน้อยในโคลด์สปริง รัฐมินนิโซตา มีชื่อเรียกว่าวัดแม่พระตั๊กแตน ซึ่งไม่ใช่ชื่อทางการ วัดนี้สร้างขึ้นครั้งแรก ในปี 1877 ทำไมถึงเรียกว่าวัดตั๊กแตน ทั้งนี้เพราะวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อถวาย เกียรติแด่พระแม่มารีย์ และเพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่ ให้ รอดพ้นจากฝูงตั๊กแตนที่กินพืชผลทำลายพื้นที่เพาะปลูกในมินนิโซตา และส่วนอื่น ๆ ของมิดเวสต์ ซึ่งกินเวลาถึงห้าปีติดต่อกัน การแพร่ระบาดของตั๊กแตนเริ่มขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1873 เกษตรกรในรัฐมินนิโซตาก็เหมือนกับ เกษตรกรในส่วนอื่น ๆ ของมิตเวสต์ ที่เฝ้าดูเมฆมืดครึ้มที่ทอดยาวข้ามท้องฟ้าด้านตะวันตก และเคลื่อนตัว เข้าหาพวกเขา มันดูเหมือนพายุฝนฟ้าคะนอง แต่พวกเขารู้ว่าเป็นพายุสิ่งมีชีวิตที่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันเป็นฝูงตั๊กแตนที่หิวโหยและทำลายล้างหลายล้านตัวจากตะวันออกของเทือกเขาร็อคกี้ เมื่อพายุตั๊กแตน เคลื่อนผ่านบริเวณทุ่งหญ้า ทุ่งข้าวสาลี และพืชผลอื่น ๆ ที่สูงระดับเอว ที่สูงระดับเอว ก็กลายเป็นเพียงตอซังระดับพื้นดิน เท่านั้น ตั๊กแตนกินทุกอย่างทั้งพืชไร่ ไม้ผล และแม้แต่จอบเสียม อุปกรณ์ในฟาร์ม รวมทั้งเสื้อผ้าด้วย ฝูงตั๊กแตนมีจำนวนแพร่หลายมาก จนเกษตรกรไม่สามารถเก็บพวกมันออกจากถังนมในขณะ ที่รีดนมวัวได้ ตั๊กแตนกัดกินทำลายฟาร์มแล้วฟาร์มเล่า ไม่เพียงแต่ทิ้งชากการถูกทำลายไว้เท่านั้น แต่ยัง เป็นการทำลายในอนาคตด้วย…
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 251 ปีที่ 42 เดือนกันยายน – ตุลาคม 2023/2566
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 250 ปีที่ 42 เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2023/2566
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 249 ปีที่ 42 เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2023/2566
บทภาวนาแด่พระมารดาแห่งเฉอซาน โดย สมเด็จพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ ที่ 16 ข้าแต่พระแม่มารีย์ พระมารดาแห่งพระวจนาตถ์ และมารดาของลูกทั้งหลาย พระแม่ทรงได้รับการสักการะในสักการสถานแห่งเฉอซาน ในพระนาม “องค์ความช่วยเหลือของคริสตชน” พระศาสนจักรในประเทศจีนเรียกหาพระแม่ ด้วยความรักและความศรัทธา ลูกทั้งหลายอยู่ต่อหน้าพระแม่ในวันนี้ เพื่อวิงวอนขอความคุ้มครองจากพระแม่ โปรดทอกพระเนตรมายังประชากรของพระเจ้า ด้วยความห่วงใยฉันมารดา โปรดทรงนำพวกเขาไปในหนทางแห่งความจริงและความรัก เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเชื้อแป้งของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ในท่ามกลางชนทั้งชาติ เมื่อครั้งที่พระแม่ทรงตอบรับด้วยความนบนอบเชื่อฟังในบ้านนาซาเรธ พระแม่ได้ทรงทำให้พระบุตรนิรันดรของพระเจ้า เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในพระครรภ์อันบริสุทธิ์ของพระแม่ และเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์พันธกิจการไถ่ให้รอดของลูกทั้งหลาย พระแม่ได้ทรงร่วมในพันธกิจนี้ด้วยพระทัยดีและเต็มพระทัย แม้ดาบแห่งความเจ็บปวดได้ทิ่มแทงจิตวิญญาณของพระแม่ จวบจนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายบนไม้กางเขน ณ เขากัลป์วารีโอ พระแม่ทรงประทับยืนข้างพระบุตรของพระแม่ ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อให้ลูกทั้งหลายได้มีชีวิต นับตั้งแต่นั้นมาในหนทางใหม่ พระแม่ได้กลายเป็นมารดาของลูกทุกคน ที่ยอมรับพระเยซูเจ้าพระบุตรของพระแม่ในความเชื่อ และเลือกที่จะเดินตามรอบพระบาท ด้วยการรับเอากางเขนของพระองค์ ข้าแต่พระมารดาแห่งความหวัง ในความมืดแห่งวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ พระแม่ได้ทรงร่วมเดินทางด้วยความไว้วางใจอันไม่สั่นคลอนไปยังรุ่งอรุณแห่งปัสกา โปรดให้บรรดาลูก ๆ ของพระแม่มองเห็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ ด้วยความรักของพระเจ้าอยู่เสมอ ข้าแต่พระมารดาแห่งเฉอซาน โปรดทรงค้ำจุนประชาชนในประเทศจีน ผู้ยังคงเชื่อ หวัง และรัก ท่ามกลางความยากลำบากประจำวัน โปรดอย่าให้พวกเขาหวาดกลัวที่จะพูดถึงพระเยซูเจ้าแก่โลก และพูดถึงโลกกับพระเยซูเจ้า ในพระรูปนี้ พระแม่ทรงยกพระบุตรของพระแม่ขึ้นสูงส่ง เพื่อมอบถวายพระองค์แก่โลก…
บทถวายครอบครัวแด่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟผู้ทรงรักพระบุตรเยซูคริสตเจ้าด้วยความรักแห่งบิดา โปรดทรงอยู่ใกล้ชิดกับบรรดาเด็ก ๆ ที่ไม่มีครอบครัว และคู่สมรสที่ปรารถนาที่จะเป็นพ่อแม่ โปรดทรงช่วยเหลือคู่สมรสที่ไม่สามารถมีบุตรได้ ให้ได้ค้นพบแผนการที่ยิ่งใหญ่ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก โปรดทรงให้ทุกคนได้มีครอบครัว มีสายใยแห่งความรัก มีคนที่คอยปกป้องคุ้มครองพวกเขา โปรดลดความเห็นแก่ตัวของผู้ที่ปิดตัวเองจากชีวิต เพื่อที่พวกเขาจะได้เปิดหัวใจออกไปเพื่อรักผู้อืน – อาแมน –
เล่มเกมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ : คลิกที่นี่ เล่มเกมกับ iPad หรือ Smart phone : แตะที่นี่
เมื่อนักบุญกล่าวถึงพระแม่มารีย์ ผู้คนทั่วโลกมักเล่าถึงอัศจรรย์ที่ได้รับผ่านทางพระแม่มารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า อัศจรรย์เหล่านั้น เป็นแรงกระตุ้น ให้ผู้คนภาวนาเพื่อวอนขอการเยียวยารักษา มีนักบุญหลายท่านกล่าวถึง พลังอำนาจอันมหัศจรรย์ของพระแม่มารีย์ …:::นักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา:::… “หากท่านรู้สึกเศร้าเสียใจ ให้ท่านเรียกหาพระแม่ เพียงภาวนาง่าย ๆ ว่า ข้าแต่พระแม่มารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า โปรดเป็นมารดาของลูกด้วย บทภาวนาเช่นนี้ ไม่เคย ทำให้ดิฉันผิดหวังเลย” “ข้าแต่พระแม่มารีย์ ขอโปรดประทานให้ลูกมีจิตใจอันงดงาม เช่นเดียวกับพระแม่ ดวงใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ดวงพระทัยของพระแม่เปี่ยมล้นด้วยความรัก และสุภาพถ่อมตน โปรดให้ลูกรับพระเยซูเจ้าในแผ่นปังแห่งชีวิต และรักพระองค์ดังที่พระแม่ทรงรัก และทรงรับใช้พระองค์ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก …:::นักบุญโบนาเวนตูรา:::… “บุรุษอาจไม่กลัวอำนาจของกองทัพศัตรู ในขณะที่อำนาจนรกเกรงกลัวพระนาม และการปกป้องของพระแม่มารีย์” …:::นักบุญหลุยส์ มารี เดอ มงฟอร์ต:::… “เราถวายเกียรติแด่พระเยซูเจ้ามากขึ้น เมื่อเราถวายเกียรติแด่พระมารดาของพระองค์ เราไปหาพระนางเพราะเป็นหนทางเดียว ที่จะนำเราไปสู่จุดหมายที่เราแสวงหา คือพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนาง” …:::นักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์:::… “ถ้าท่านเรียกหา พระแม่มารีย์ เมื่อท่านถูกประจญ…
บนม้านั่งมิตรภาพ ความโชคร้ายของ lorence Manyande เริ่มขึ้นปี 2010 เธอสูญเสียทุกอย่างและรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก ชีวิตของเธอตกต่ำขั้นสุด ตอนที่เธอประสบอุบัติเหตุถูกรถชน สามีได้ทิ้งเธอไป เธอต้องดูแลลูกทั้งสามคนด้วยตัวเอง เธอไม่รู้ว่าจะจ่ายค่าเล่าเรียนได้อย่างไร เธอไม่มีบ้าน และครอบครัวของเธอปฏิเสธที่จะรับเธอเข้ามา เธอรู้สึกสิ้นหวัง แต่หลังจากถูกรถชนในวันนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งได้พาเธอไปที่คลินิกเพื่อรับการรักษา ผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเธอได้แนะนำให้ Manyande ได้รู้จักกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล นั่นก็คือม้านั่งตัวหนึ่ง แต่ไม่ใช่แค่ม้านั่งธรรมดา แต่เป็นม้านั่งแห่งมิตรภาพ (Friendship Bench) ซึ่ง Dr. Dixon Chibanda จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยซิมบับเว โดยทั่วไปความเจ็บป่วยทางจิตถือเป็นความอัปยศ และในประเทศซิมบับเวถือเป็นเรื่องเลวร้าย การป่วยทางจิตมักถูกมองว่าเป็นการสาปแช่ง และผู้คนจะแสวงหาการไล่ผีแทนการไปคลินิกสุขภาพจิต ดร. ชิบันดา พบว่าแม้ผู้คนจำนวนมากปฏิเสธที่จะไปคลินิก แต่หลายคนก็ดูสบายใจที่จะมานั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะ และแบ่งปันปัญหากับสมาชิกในชุมชนของตน ที่ปรึกษาชุมชนเหล่านี้มักเป็นสตรีอาวุโส ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชุมชน พวกเขาจะพูดคุย และร่วมกันวางแผนเพื่อเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้น งานวิจัยเกี่ยวกับกิจกรรมม้านั่งมิตรภาพนี้ แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ มีการทดสอบคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับการรักษาที่เป็นมาตรฐานในเรื่องความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า รวมถึงการสั่งยาตามความจำเป็น ส่วนอีกกลุ่มได้รับประสบการณ์จากม้านั่งมิตรภาพ หลังจากหกเดือน ครึ่งหนึ่งของกลุ่มมาตรฐานยังคงมีอาการอยู่…
บทถวายครอบครัวแด่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ข้าแต่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้า ลูกทุกคนในครอบครัวพระหฤทัยฯ ขอถวายตัวลูกทั้งครบแด่พระองค์ ขอถวายชีวิต กิจการ การงาน ความยากลำบาก ความยินดีและความรักของลูกแด่พระองค์ ลูกปรารถนาเป็นของพระองค์แต่ผู้เดียว ขอพระองค์โปรดคุ้มครองชีวิตของลูก ให้ได้รับความรอดตลอดนิรันดร โปรดทรงเป็นพละกำลังแก่ลูกในยามอ่อนแอ และถูกประจญ โปรดทรงยกโทษบาปและความผิดพลาดของลูก ทั้งมวล เพื่อให้ลูกบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ พระเจ้าข้า โปรดจารึกความรักของพระองค์ลงในดวงใจของลูก เพื่อให้ลูกมีความรักร้อนรนต่อพระองค์ และต่อพี่น้องทุกคนเหมือนกับดวงพระหฤทัยของพระองค์ ข้าแต่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ขอโปรดให้ลูกได้ดำเนินชีวิตเป็นคริสตชนที่ดี และพร้อมที่จะรับใช้พระองค์ตลอดไป อาแมน
บทภาวนาพระจิตเจ้า พร้อมกับพระนางพรหมจารีย์มารีย์ และบรรดาอัครสาวก ซึ่งภาวนาในห้องชั้นบน รอคอยการเสด็จมาขององค์พระจิตเจ้า องค์พระผู้บรรเทา ลูกทั้งหลายขอวิงวอน พระจิตเจ้า องค์ความสว่างแห่งความรัก ลมฆานอันทรงพลานุภาพแห่งพระเจ้าผู้สูงสุด ต้นธารแห่งพระพรทุกประการ โปรดทรงรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งร่างกายและจิตใจ โปรดชำระล้างมลทินบาปทั้งปวง โปรดคืนความถูกต้องให้แก่สิ่งที่ผิดพลาดไป ในความเจ็บปวด โปรดเป็รการพักผ่อน ในความเจ็บไข้ โปรดเป็นความบรรเทา ในน้ำตา โปรดเป็นการปลอบประโลม โปรดเป็นพละกำลัง ในความอ่อนแอ โปรดเป็นความไว้ใจ ในความสงสัย โปรดเป็นความหวัง ในความเศร้าเสียใจ โปรดเป็นความรักขององค์พระบิดา ในองค์พระบุตร สำหรับลูกทั้งหลาย ตลอดไป…
อานุภาพแห่งการสวดสายประคำ ใครมาส่งถ่านหิน เมื่อดิฉันยังเป็นเด็ก ครอบครัวของเรามีปัญหา เรื่องเงินอย่างหนัก ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และคุณพ่อของดิฉันก็ตกงาน อากาศหนาวจัด และเรามีถ่านหินเพียงพอสำหรับให้ความอบอุ่นแก่ ครอบครัวของเราได้เพียงอีกหนึ่งคืน ระหว่างอาหารค่ำ คุณพ่อคุณแม่ของเราบอก ลูกๆ ของท่านทั้งเก้าคนเรื่องสถานการณ์ของเรา และ กล่าวอย่างเศร้าใจว่า ถ้าในคืนนั้นเราไม่ได้รับถ่านหิน ปันส่วนที่รัฐแจกจ่ายให้เพื่อบรรเทาทุกข์ เราจะต้อง ไปอยู่บ้านรับเลี้ยงเด็กในวันรุ่งขึ้น เราไม่มีที่จะอยู่แล้ว หลังอาหารค่ำ เราทุกคนคุกเข่าลงและสวด สายประค่าพร้อมกัน เมื่อเราสวดได้เกือบจบสาย เราได้ยินเสียงรถบรรทุกวิ่งเข้ามาในซอยบ้านของเรา เรารอคอยด้วยความหวังและได้ยินเสียงเคาะที่ประตู คุณพ่อคว้าเสื้อคลุม กล่าวว่า “พ่อจะไปช่วย เขาขนของลงจากรถ” เราสวดสายประค่าต่อจนจบด้วยความยินดี อย่างยิ่ง แต่เมื่อคุณพ่อกลับเข้ามาในบ้าน ท่านมีสีหน้า งุนงง ท่านบอกคุณแม่ว่า “พ่อไม่คิดว่านั่นเป็นของ บรรเทาทุกข์ พ่อไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นมาก่อน และเขาก็ไม่ได้ให้พ่อเซ็นเอกสารใดๆ” เราทุกคน สงสัยว่าชายคนนั้นเป็นใครขณะที่เราเตรียมตัว เข้านอน ในบ้านที่อบอุ่นมากขึ้น วันรุ่งขึ้น เราได้รับถ่านหินอีกเที่ยวหนึ่ง คุณแม่ บอกคนขับรถ…
การประจักษ์ที่ลิทมาโนวา (Litmanova) การประจักษ์ที่ ลิทมาโนวา Litmanova ในประเทศสโลวาเกีย ตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค. 1990 – 6 ส.ค. 1995 เป็นการประจักษ์ของแม่พระที่พระศาสนจักรรับรองแล้ว แม่พระประจักษ์แก่เด็กสองคนคือ อิวิตา คอรกา Iveta Korca อายุ 12 ปี และ แคทกา ซีเซลโควา Katka ceselková อายุ 13 ปี อิวิตา ได้เห็นและได้ยินเสียงของแม่พระ ส่วนแคทกา เห็นแม่พระอย่างเดียว ทั้งสองเห็นแม่พระอยู่ท่ามกลางหมอก ทรงอาภรณ์หลายสีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่เป็นสีขาวและมีเสื้อคลุมสีฟ้า บางครั้งพระนางจะทรงอาภรณ์สีทอง ม่วง และมีครั้งหนึ่งเป็นสีดำ พระนางทรงถือสายประคำและสวมมงกุฏบนผ้าคลุมพระเศียรที่เป็นสีฟ้าอ่อน แม่พระทรงประทานคำแนะนำวิธีที่จะปกป้องตนเองในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ แม่พระทรงขอร้องให้เราสวดสายประคำสามสายทุกวันพร้อมรำพึงในแต่ละข้อ และให้อดอาหารสัปดาห์ละสองครั้ง แม่พระตรัสว่า “แม่ไม่สามารถทนดูบาปของสโลวาเกียได้แล้ว พวกลูกมีสิ่งต่างๆมากมายเกินไป เพราะฉะนั้นลูกจึงไม่ให้เกียรติแด่องค์พระบุตรและแก่แม่ องค์พระบุตรของแม่จะทรงส่งภัยพิบัติมายังสโลวาเกีย แต่ถ้าประชาชนเปลี่ยนแปลงตนเองและเริ่มสวดภาวนาด้วยสิ้นสุดจิตใจ ภัยพิบัตินั้นก็จะผ่านพ้นไป” แม่พระตรัสกับอิวิตาว่า สายประคำมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ไม่มีความชั่วร้ายใดสามารถเอาชนะได้…
ไข่มุกเม็ดงาม “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะ ไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น” (มัทธิว 13 : 45-46) ในสมัยที่พระเยซูตรัสคำอุปมานี้ ไข่มุกกำลังเป็นที่หลงใหลของคนทั่วไป การชื่นชมไข่มุกเป็นธรรมเนียม ของชาวอียิปต์ และชาวโรมันรับตกทอดมาอีกทีหนึ่ง น่าแปลกที่คนต้องการไข่มุก มิใช่เพราะมันมีราคา แต่เป็น เพราะความรู้สึกปีติยินดีที่ได้จับต้องและเพียงมองดู กฎหมายชาวยิวกล่าวถึงไข่มุกว่า มีราคายิ่งกว่าสิ่งใด ผู้ที่ เป็นพ่อค้าไข่มุกจะดั้นด้นไปในโลก เพื่อหาไข่มุกเม็ดงามจริงๆ โดยปกติ เขาหาไข่มุกได้จากทะเลแดง แต่ไข่มุก ที่งดงาม และมีราคาที่สุดมาจากอ่าวเปอร์เซีย อินเดีย และอังกฤษ คำอุปมานี้เป็นเรื่องชายคนหนึ่งที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อเสาะหาไข่มุกเม็ดดีที่สุด เมื่อได้พบแล้ว เขาก็ขายทุกสิ่ง ที่มีอยู่เพื่อซื้อไข่มุกเม็ดนั้น ผู้แสวงหา เมื่อเราอ่านคำอุปมาเรื่องแรกคือ เรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ และเรื่องที่สองคือเรื่องไข่มุกที่มีราคามาก คำอุปมาทั้งสองแตกต่างกัน แต่ก็มีความสอดคล้องกันด้วย ในกรณีของคนที่พบขุมทรัพย์นั้น เป็นการบังเอิญ ส่วนพ่อค้าที่ค้นพบไข่มุกต้องใช้เวลาแสวงหาตลอดชีวิต จึงเป็นไปได้ที่คนจะพบแผ่นดินของพระเจ้าโดยบังเอิญ หรือพบเพราะการได้แสวงหาตลอดชีวิตด้วย เปาโลเป็นเช่นนี้ เขาเป็นคนที่ได้แสวงหาสันติสุข ความชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดชีวิต คริสตชนผู้ยิ่งใหญ่ ที่สังเวยชีวิตในศตวรรษที่สอง ชื่อจัสติน เล่าว่าเขาแสวงหาจากหลักปรัชญาหนึ่งไปสู่อีกหลักปรัชญาหนึ่งจน ในที่สุดได้ค้นพบเคล็ดลับแห่งสันติสุขในศาสนาคริสต์…
แม่พระคือแบบอย่างของผู้ยอมสูญเสียทุกสิ่งตามพระประสงค์ของพระเจ้า แม่พระคือแบบอย่างของผู้ยอมสูญเสียทุกสิ่งตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้น ขอให้เราทุกคนกล้า ที่จะดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของพระนาง ด้วยการถวายทุกสิ่งในตัวเรา ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดา ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความสมหวัง ความผิดหวัง ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มคุณค่าในการดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แม่พระอยู่เคียงข้างผู้เจ็บป่วยและผู้สูญเสียทุกคน ดังที่เราเห็นพระนางยืนอยู่แทบพระบาทของพระเยซูเจ้า ขณะถูกตรึงกางเขน พระเยซูคริสต์ผู้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในครรภ์ของพระนางมารีย์ บัดนี้ พระองค์ประทับบนพระแท่นบูชา และมอบชีวิตของพระองค์แก่เราทุกคน เพื่อรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและไถ่บาปของโลก คริสตชนที่นมัสการพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ก็ได้มอบความหวังในการดำเนินชีวิตไว้กับพระองค์ ผู้ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง และเมื่อเรารับพระกายของพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็ได้รับโอสถแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งสามารถรักษาความเจ็บป่วยทั้งกายและใจ ขอแม่พระได้โปรดเยียวยารักษาผู้ป่วยและผู้สูญเสียทุกคน ทั้งด้าน ร่างกายและจิตใจ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จาก นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 246 ปีที่ 41 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2022/2565 หน้าปกหลังด้านใน
ร้านอาหารที่เสิร์ฟผิดบ่อยที่สุด แต่ทำให้คนเข้าใจกันมากที่สุด มองจากภายนอกอาจจะดูเหมือนร้านอาหาร ทั่วไป แต่รับประกันว่า ร้านนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน บรรยากาศในร้านมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะที่ The Restaurant Of Mistaken Orders ภาพของคนชราที่ความจำเสื่อมใส่ผ้ากันเปื้อนที่มี กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นร้านอาหารไม่ได้ตามสั่ง รับออเดอร์และเสิร์ฟโดยพนักงานความจำเสื่อม เมื่อก้าวเข้าไปในร้านจะพบกับคุณยายหน้าตายิ้มแย้ม รอต้อนรับและให้บริการ และนี่เองที่เป็น Key word ของร้านนี้ คือสั่งอย่าง แต่ได้อีกอย่าง เพราะคุณยายผู้รับออเดอร์และเสิร์ฟ เป็นผู้ป่วยความจำเสื่อมนั่นเอง ก็จะหลงๆ ลืมๆ หน่อย เราก็มีหน้าที่ลุ้นว่า จะมีอะไรมาเสิร์ฟ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ที่สั่งไป ร้านนี้ภายนอกออกแบบ ตกแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น การันตีว่าทุกเมนูอร่อยอย่างมีคุณภาพ แม้เสิร์ฟอาหารให้คุณผิดเป็นประจำ แต่ลูกค้าไม่เคยบ่นแถมมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะด้วยความ “เข้าอก เข้าใจ” ร้านอาหารที่เป็นมากกว่าร้านอาหาร เพราะต้องการทำให้คนในสังคมเปิด ใจให้กว้าง เข้าอกเข้าใจคนแก่ที่ป่วย เป็นโรคความจําเสื่อมมากขึ้น คนที่ใครๆ ก็คิดว่าพวกเขาหมดประโยชน์ ดูแลตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ด้วยชื่อร้านก็บอกชัดเจนอยู่ แล้วว่ามาทานอาหารร้านนี้ มีโอกาสสูงมากที่คุณจะไม่ได้ทานในสิ่งที่คุณสั่ง แต่ไม่มีลูกค้าคนไหนบ่นสักคำ…
วิญญาณในไฟชำระช่วยเราได้ พระคาร์ดินัลซีซาร์ บารอนเนียส (Caesar Baronius 1538-1607) บันทึกเรื่องราวของหญิงใจศรัทธา ผู้หนึ่งที่มีความเอื้ออาทรต่อวิญญาณในไฟชำระเป็นอย่างมาก เมื่อเธอกำลังจะตาย หญิงผู้นี้รู้สึกซึมเศร้าหมดหวัง จากความรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตของเธอนั้นแย่มาก เธอเริ่มดูถูกตัวเองจากการถูกกระตุ้นให้บอกตัวเองว่า เธอหมดหวังแล้วที่จะได้รับความรอด พลังแห่งนรกพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อผลักดันหญิงใจศรัทธาให้สูญเสียความเชื่อ และคิดว่าพระเจ้าของเราจะไม่มีวันเมตตาเธอ มันพยายามทำให้เธอตกต่ำลงสู่ความสิ้นหวัง ดังนั้น เหล่าปีศาจก็จะสามารถดึงวิญญาณของเธอไปได้ ทันใดนั้น สตรีใจศรัทธาก็มองเห็นวิญญาณหลายพันดวงมาหาเธอเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งทำให้เธอบังเกิดความเชื่อมั่นและวางใจว่าชัยชนะในการต่อสู้จะเป็นของเธอ และเธอจะสามารถได้รับสวรรค์เป็นรางวัล จิตใจของเธอหลุดพ้นจากความหวาดกลัวในที่สุด แต่เธอไม่รู้จักวิญญาณจำนวนมากมายเหล่านั้น เธอจึงถามพวกเขาว่าพวกเขาเป็นใคร และก็ได้รับคำตอบว่า “เราเป็นวิญญาณที่คุณได้ช่วยเหลือให้พ้นจากไฟชำระ พวกเราจึงกลับมาช่วยคุณเป็นการตอบแทน และเราจะพาคุณไปสวรรค์ในไม่ช้า” หญิงใจศรัทธารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เสียชีวิตด้วยความสุขอย่างสงบ หากคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คือรู้สึกหมดความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า ขอให้พิจารณาที่จะพัฒนาความเมตตาเอื้ออาทรต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระเถิด เพราะพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะพยายามช่วยคุณให้พ้นจากภาวะสิ้นหวังที่บีบคั้นคุณอยู่ พวกเขาอาจช่วยคุณในลักษณะเดียวกับที่คุณช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากไฟชำระก็ได้ จาก นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 246 ปีที่ 41 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2022/2565 หน้า 17
กล่าวทักทายแม่พระด้วยบทวันทามารีย์ กุหลาบงามถวายแด่พระแม่ มีคนเคยแนะนำให้เราวางสายประคำไว้ ใต้หมอน แม้จะเป็นอันเล็กๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ สำหรับคนที่เชื่อ ทำให้แก้ปัญหาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และเป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้มีอาการนอนไม่หลับ หลายครั้ง เราอาจตื่นขึ้นมาพร้อมกับสายประคำในมือ และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ การกระทำเช่นนี้จะมีความหมายมากขึ้น เมื่อเราทราบที่มาของเรื่องราวสวยงามที่เล่าต่อกันมา เราอาจมีคำถามว่า ใครเป็นคนคิดมูลค่า ซ้ำๆ เวลาเราสวดสายประคำพระแม่มารีย์ ประเด็นคือ อะไร ทุกครั้งที่เราสวดอ้อนวอน วันทามารีย์แต่ละบท คือดอกกุหลาบล้ำค่า ถวายแด่พระแม่มารีย์ มีเรื่องเล่าว่าในสมัยก่อน ภราดาเลโก คณะโดมินิกัน ซึ่งอ่านหนังสือไม่ออก ดังนั้น ท่านจึงไม่สามารถสวดบทเพลงสดุดี พร้อมกันกับภราดาคนอื่นๆ ได้ เมื่อท่านทำงานเสร็จในตอนค่ำ ท่านจึงไปที่วัดของอาราม คุกเข่าต่อหน้าพระรูปพระแม่มารีย์ และสวด บทวันทามารีย์ 50 บท (ตามจำนวนบทเพลงสดุดีในพระคัมภีร์) จากนั้นท่านจึงจะไปพักผ่อนที่ห้องพัก และในตอนเช้าตรู่ ท่านจะลุกขึ้นก่อนบรรดาภราดาทั้งหมด เพื่อไปวัดกล่าวบททักทายแม่พระ (วันทามารีย์) ทุกวัน เมื่ออธิการไปถึงวัดน้อย เพื่อร่วมสวดทำวัตรเช้ากับสมาชิกภราดาคนอื่นๆ ท่านได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ ท่านสงสัยว่ากลิ่นหอมนี้มาจากไหน จึงถามทุกคนว่าใครเป็นคนตกแต่งดูแลการประดับ แท่นพระแม่มารีย์ด้วยดอกกุหลาบอย่างสวยงาม ซึ่งคำตอบก็คือไม่มีใครมาจัดดอกไม้ และพุ่มกุหลาบ…
ธรรมชาติกับความสุข ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “มองลึกเข้าไปใน ธรรมชาติ แล้วคุณจะเข้าใจทุกอย่างดีขึ้น” ตลอด ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่อริสโตเติลจนถึงไอน์สไตน์ต่างรู้ว่าการเดินใน ธรรมชาติสามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้ เมื่อเราเดิน อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้น สูบฉีดเลือดและออกซิเจนเข้าสมอง จังหวะของเท้า กระตุ้นจิตใจของเรา และเนื่องจากการเดินต้องใช้ พลังงานทางจิตเพียงเล็กน้อย ความคิดของเราจึงมี อิสระจะเกิดรูปแบบใหม่และสร้างสรรค์ การเดิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินในธรรมชาติ ไม่เพียง แต่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเราเท่านั้น จากการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ยังทำให้เราสุขภาพที่ดีขึ้น และความสุขมากขึ้นด้วย โยชิฟูมิ มิยาซากิ จากมหาวิทยาลัยชิบะ ศึกษา ผลกระทบของธรรมชาติต่อความเครียด เขาจัดกลุ่ม อาสาสมัครสองกลุ่ม กลุ่มแรก 84 คน เดินในธรรมชาติ และกลุ่มหนึ่ง 84 คน เดินอยู่ในเมือง หลังจาก เดินเพียง 15 นาที เดินชมธรรมชาติแสดงให้เห็นถึง ระดับความเครียดที่ลง ความดันโลหิตของพวกเขา ลดลง เปอร์เซ็นต์ อัตราการเต้นของหัวใจลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ และระดับคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดลดลง…
เพราะเหตุใดคาทอลิกจึงรักและนับถือพระแม่มารีย์ คาทอลิกรัก ให้เกียรติ และเคารพนับถือพระแม่มารีย์ พระมารดาผู้ได้รับพระพรของพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้สักการะบูชาพระแม่มารีย์เป็นพระเจ้า เพราะเรานมัสการพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว สวรรค์ไม่ใช่สถานที่ “ตาย” คาทอลิกเชื่อว่า ผู้คนในสวรรค์มีชีวิตชีวามาก (มธ 19:29, 25:46, 10:17-22; มก 10:30; ลก 10:25-30, 18:18-30; ยน 3:15-16) และเราเชื่อว่าพระแม่มารีย์ยังทรงพระชนม์อยู่อย่างสมบูรณ์ และกำลังอธิษฐานภาวนาเพื่อเรา พระแม่มารีย์ทรงภาวนาวอนขอเพื่อโลก เพื่อเด็กที่ยังไม่เกิด เพื่อแม่ที่กำลังคิดจะทำแท้ง และเพื่อผู้คนที่กำลังประสบความเศร้าโศก และผู้ที่ต้องการใกล้ชิดพระเยซูเจ้ามากขึ้น เพราะเหตุใดคาทอลิกถึงให้เกียรติ รักและเคารพนับถือพระแม่มารีย์อย่างสุดซึ้ง ก่อนอื่นใด เรารักพระแม่มารีย์ เพราะพระเยซูเจ้าทรงรักพระแม่มาก ดังที่นักบุญมักซีมีเลียน โกลเบ กล่าวว่า “อย่า กลัวที่จะรักพระแม่มารีย์มากเกินไป ท่านไม่สามารถ รักพระนางได้มากกว่าพระเยซูเจ้า” คาทอลิกไม่ได้ยกย่องพระแม่มารีย์เท่าเทียมกับพระเจ้า แน่นอนว่าพระแม่มารีย์ควรค่าแก่การรักและเคารพ แต่ไม่ใช่สักการะบูชา คาทอลิกเชื่อว่า พระนางมารีย์เป็นสิ่งสร้างสูงส่งที่สุดของพระเจ้า เพราะบทบาทอันสูงส่งของพระนาง คือ พระนางมารีย์ เป็นสตรีที่คาทอลิกถือว่าเป็นหนึ่งในงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ตั้งแต่นิรันดรภาพ พระเจ้า พระตรีเอกภาพทรงเลือกพระนางมารีย์ให้เป็น พระมารดาของพระเยซูเจ้า…
5 บทเรียนความเป็นผู้นำของนักบุญเปโตร แม้นักบุญเปโตรไม่ได้เป็นผู้นำโดยกำเนิด แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากความสำเร็จและความ ล้มเหลวของท่านได้มากมาย บางคนบอกว่าถ้า คุณต้องการเป็นผู้นำ คุณต้องเตรียมพร้อมสำหรับ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ภาวะผู้นำเป็นเรื่องยาก เป็น เรื่องที่ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรพูด และเมื่อใดควรรับฟัง เมื่อใดควรกระทํา และเมื่อใดควรอดทน เมื่อได ควรเปลี่ยนใจ และเมื่อใดควรยืนหยัด เป็นความ เชื่อมั่นที่ต้องก้าวกระโดด แต่เวลาเดียวกันก็ต้อง ซ่อนความตื่นตระหนกไว้ นักบุญเปโตร พระสันตะปาปาองค์แรก ซึ่งเป็นผู้นำของบรรดาศิษย์ที่ติดตามพระเยซูเจ้าในยุคแรก ที่พระศาสนจักรกำลังก่อร่าง เปโตรไม่ได้เป็นผู้นำโดยกำเนิด ท่านเป็นชาวประมงธรรมดาๆ ซึ่งจู่ๆ ก็เข้ามา มีบทบาท จากการเตรียมเพียงไม่กี่ปี เรื่องราวชีวิตของท่านน่าสนใจ เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบ แต่เล่าถึง ความล้มเหลวและความสำเร็จ หากคุณต้องการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือบทเรียน 5 ข้อ จาก ชีวิตของนักบุญเปโตร ผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งที่โลกเคยรู้จัก… 1. ทำผิดแล้วรีบขอโทษ บางทีบทเรียนแรกที่ผู้นำต้องเรียนรู้คือ ทำผิดพลาดได้ ไม่มีใครคาดหวังความสมบูรณ์แบบ แต่ผู้คน คาดหวังว่า ผู้นำจะรับฟังคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ ยอมรับความผิดพลาด และพยายามหลีกเลี่ยงความผิดนั้น ในอนาคต เปโตรทำผิดพลาดในที่สาธารณะหลายครั้ง…
การภาวนาคือ การภาวนาคือ การดู การมอง การเห็นความเป็นจริง ไม่ใช่การมองหาพระเจ้าในทุกสิ่ง แต่มากกว่านั้นคือ การแสวงหาพระเจ้าในความเป็นจริงของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การภาวนาคือ หัวใจที่สำนึกในการประทับอยู่ของพระเจ้า และวิธีการของพระองค์ที่ทำให้โลกศักดิ์สิทธิ์ขึ้น การภาวนาคือ ความพยายามของเราที่จะมีประสบการณ์กับพระเจ้า การให้ความเอาใจใส่ต่อความสัมพันธ์ ของชีวิตเราในบริบทต่างๆ ทั้งกับตัวเราเอง กับผู้อื่น และกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็น ที่มา ทำให้ความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ของเราเป็นไปได้ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราสามารถเห็นหรือได้ยินการประทับของพระเจ้า ในความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ด้วย เราพูดคุยกับพระเจ้าในคำภาวนาของเรา และพระวาจาของพระเจ้าพูดกับเราในชีวิตของเรา การภาวนานำเราสู่ความสำนึก ตระหนัก และมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงในพระคริสต์ แม้เราสำนึก ตระหนักที่จะฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ตาม แต่เราก็ประสบความเสี่ยง เพราะเราไม่รู้ว่า พระเจ้าจะน่าเราในฐานะลูกของพระองค์ และคริสตชนคนหนึ่งไปยังทิศทางใด และอย่างไร การภาวนามีความเสี่ยง เพราะพระเจ้าผู้ทรงเรียกเราให้กลับใจอย่างต่อเนื่อง ได้ทรงตอบรับที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา และ ณ เวลานั้น “การผจญภัย” ของเราก็เริ่มต้นขึ้น ถ้าเราสามารถพิสูจน์ถึงคุณค่าของคำภาวนาตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ สิ่งนั้นก็มิใช่เป็น “คำภาวนา” คำภาวนา การภาวนา มีความเสี่ยงในตัวเอง เพราะการภาวนาที่แท้จริงนั้น…
คำสอนของนักบุญคุณพ่อปีโอ อย่ากังวลเกินไปกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามารบกวน สิ่งเดียวที่จำเป็นคือ ยกจิตใจของลูกขึ้นและรักพระเจ้า กางเขนเป็นมาตรฐานของการเลือก ขอให้เราอยู่ ชิดใกล้กับกางเขน แล้วเราจะเป็นผู้ประสบผลสำเร็จ ในการเอาชนะทุกสิ่งและอยู่เหนือผู้อื่น ความสุภาพถ่อมตนและความบริสุทธิ์เป็นดั่งเช่นปีกที่จะนำเราไปสู่พระเจ้า จงจำไว้ว่าคนบาปที่รู้สึกละอายถึงความผิดบาปของตน เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าคนดีที่กล้าทำดี ที่ใดไม่มีคุณธรรม ที่นั่นย่อมไม่มีความดี ที่ใดไม่มีความดี ที่นั่นย่อมไม่มีความรัก ที่ใดไม่มีความรัก ที่นั่นย่อมไม่มีพระเจ้า ที่ใดไม่มีพระเจ้า ที่นั่นก็ไม่มีสวรรค์ ชีวิตคือการต่อสู้ ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราต้องมีชัยชนะ สิ่งที่มาจากปีศาจมักเริ่มต้นด้วยความนิ่งสงบ และจบลงด้วยพายุ จงวางใจในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า และจงมั่นใจว่าแม้โลกและสวรรค์จะผ่านไป แต่พระเจ้าไม่ทรงละเลยที่จะดูแลลูก อดีตของลูกนั้น ขอให้อยู่ในพระเมตตาของพระองค์ ส่วนปัจจุบันของลูก ขอให้อยู่ในความรักของพระองค์และอนาคตของลูก ขอให้อยู่ในพระญาณสอดส่องของพระองค์ ลูกต้องการความรอบคอบและความรักเสมอ เพราะความรอบคอบเปรียบเสมือนดวงตา และความรัก เปรียบเสมือนขาที่จะวิ่งไปหาพระเจ้า หากมีรักอย่างเดียว ก็เหมือนการมีขาที่วิ่งไปแล้วอาจสะดุดล้มได้ ดังนั้น เราต้องให้ความรอบคอบ ความรักของเรา เพราะเมื่อใดที่ความรักไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ก็จะถูกน่าโดยความรอบคอบ โดยวิธีการนี้ ความรักต้องย่อมมอบตัวเองให้ถูกนำโดยความรอบคอบ และแสดงออกตามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่แสดงออกตามที่ชอบ หัวใจของความสมบูรณ์ครบครัน คือความเมตตากรุณา ผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความเมตตากรุณาก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นองค์แห่งความเมตตากรุณา ลูกควรสุภาพถ่อมตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากกว่าที่จะกังวลเกรงกลัว เพราะแม้แต่พระเยซูเจ้า…
คริสต์มาสที่แท้จริงคืออะไร? เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส เราจะได้ยินเสียงเพลง Joy to the World หรือเพลง Silent Night Holy Night ซึ่งบรรยายถึงความสุข ความยินดี และความสงบเงียบของคืนบริสุทธิ์ที่องค์พระกุมารเยซูเสด็จมาประสูติ แต่คริสต์มาสที่แท้จริงคืออะไร คืนนั้น ท้องฟ้าโปร่ง ดาวระยิบระยับแสง สายลมรำเพยมาเบาๆ ทุกชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อเบธเลเฮม ต่างนิทรารมย์อย่างเป็นสุข คืนนั้นแหละที่พระผู้ช่วยให้รอดของโลกชื่อเยซู ประสูติในรางหญ้าที่นอกเมือง คนพวกหนึ่งกำลังนอนเฝ้าฝูงแกะของเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ฉับพลันพวกเขาก็ตกใจตื่น เพราะมีแสงและเสียงจากฟากฟ้า ทูตสวรรค์มาบอกพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมาแจ้งแก่ท่าน เป็นข่าวที่จะก่อให้เกิดความปีติยินดีแก่คนทั้งปวง คืนวันนี้ องค์พระผู้ช่วยให้รอดของโลกได้เสด็จมา บังเกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮม” ต่อจากนั้นทูตสวรรค์องค์อื่นๆ ก็ร่วมร้องเพลงว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีในท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง” นี่คือคำประกาศ คริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความสุข เมื่อพูดถึง “ความสุข” เราก็ต้องมาตีความอีกนิดว่า อะไรคือความสุข บางคนบอกว่า ความสุข คือทุกข์น้อย ความสุขที่แท้จริงไม่มี ถ้าความทุกข์น้อย ความสุขก็มาก ถ้าความทุกข์มาก ความสุข ก็น้อย…
คริสต์มาสคือเรื่องเซอร์ไพรส์จากพระเจ้า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสสอนว่า คำว่า พระอาณาจักรของพระเจ้า หมายความว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ประชากรของพระองค์พ่ายแพ้ ต่อปีศาจ แต่พระองค์ทรงเติมเต็มพระอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงสร้างขึ้น สิ่งนี้ทำให้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งการให้อภัยและสันติ นั่นคือพระเจ้าเสด็จมา เพื่อทำให้สิ่งใหม่เกิดขึ้น พระองค์ทรงมาสร้างอาณาจักรแห่งสันติ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาเพื่อนำอิสรภาพและการปลอบโยนมามอบให้เรา ดังนั้น ขอให้เราเปิดใจรับสารแห่งความรอดที่พระกุมารทรงนำมามอบให้เรา พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ ด้วยการสวมกอดผู้ต่ำต้อยที่สุด ผู้อ่อนแอที่สุด และผู้ยากไร้ที่สุด คริสต์มาสคือเรื่องเซอร์ไพรส์จากพระเจ้าพระกุมาร พระเจ้าผู้ยากไร้ พระเจ้าผู้อ่อนแอ และพระเจ้าผู้ทรงละทิ้งความยิ่งใหญ่ เพื่อลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงประทับอยู่ใกล้ชิดเราแต่ละคน
ความสุขแบบธรรมดา ชาย 2 คนขอพรจากพระเจ้า คนแรกขอพรทำสิ่งพิเศษ คนที่สองขอพรทำสิ่งธรรมดา พระเจ้าผู้ทรงพระทัยดี ให้เทวดารักษาตัว นำพรไปมอบแก่ชายทั้ง 2 ตามที่เขาวอนขอไว้ คนแรกดีใจ ที่ตนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างพิเศษ จะพูดจาเจรจากับใคร ก็ได้รับผลดีอย่างพิเศษ ความเป็นอยู่ประจำวันก็พิเศษ อาหารทุกมื้อก็พิเศษ และมีมากมายจนเหลือทิ้ง เสื้อผ้าหรูหรา จะไปไหนก็มีผู้ติดตามอย่างพิเศษ มีรถนำขบวน ความคิดที่เกิดขึ้นก็พิเศษ จนเกินความเป็นจริง แต่เรื่องธรรมดา ๆ เขากลับทำไม่ได้ เขาไม่สามารถพาลูกไปเดินเล่นยามเย็น หรือช่วงวันหยุดได้เลย เพราะมีผู้ติดตามมากมายเขาไม่สามารถอยู่บ้านกับภรรยาสองต่อสองได้ เพราะมีผู้คนมาเยี่ยมที่บ้านตลอดเวลา เขาไม่สามารถอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ได้ เพราะสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดใหญ่โต จนเขาแทบจะคลั่ง ชีวิตของชายคนแรกนี้ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ส่วนคนที่สอง กลับดำเนินชีวิตแบบธรรมดา ๆ มีชีวิตเรียบง่าย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น เขาสามารถคิดแบบคนธรรมดา มีชีวิตครอบครัวเรียบ ๆ มีความสุขแบบธรรมดากับภรรยาและลูก ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระแม้กระทั่งนั่งกินอาหารข้างถนนได้อย่างสบายใจ และในความธรรมดา ๆ ของเขานี่เอง เขาเริ่มสังเกตบางสิ่งที่เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยสังเกต ไม่เคยคิดถึงมาก่อน…
เพราะเหตุใดสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสจึงผูกพันกับแม่พระ ความศรัทธาต่อแม่พระ เป็นหัวใจสำคัญของการเป็นคาทอลิก และสิ่งนี้มีบทบาทอย่างยิ่ง ในชีวิตของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ผู้สวดสายประคําวันละ 3 สายอย่างไรก็ตาม ความศรัทธาต่อแม่พระของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ต่างไปจากพระสันตะปาปาองค์ก่อน ๆ สำหรับพระองค์ แม่พระมิได้เป็นเพียงพระมารดาผู้อ่อนโยนของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำที่มีความเชื่อเข้มแข็ง และกล้าหาญด้วย ในระหว่างที่พระสันตะปาปาฟรังซิส ศึกษาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งในขณะนั้นพระองค์มีนามว่า ฮอร์เก มาริโอ แบร์โกลิโอ พระองค์มีความเคารพศรัทธาต่อภาพวาดในยุคบาโรก ที่มีชื่อว่า “แม่พระผู้แก้ปม” ผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็น ภาพแม่พระแก้ปมเชือก ขณะที่พระนางเหยียบย่ำงูไว้ใต้พระบาท สารของภาพนี้ชัดเจน แม่พระทรงแก้ปัญหา ประสานความแตกแยก และปราบความชั่วร้าย ด้วยความประทับใจในภาพนี้ พระองค์จึงนำภาพนี้กลับมายังอาร์เจนตินาด้วย ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความศรัทธา ต่อแม่พระผู้แก้ปมในเวลาต่อมา อาจกล่าวได้ว่าแม่พระทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของพระองค์ ในยามที่พระองค์ทรงนำพระศาสนจักร ฝ่าสถานการณ์ที่ผันผวน และยากลำบาก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ยังต้องเผชิญกับประเด็น บทบาทผู้นำสตรีในพระศาสนจักร และพระองค์ทรงริเริ่มการปฏิรูปงานอภิบาลในกลุ่มรักร่วมเพศ แต่พระศาสนจักรเอง ยังไม่เปิดกว้างสำหรับผู้หญิงมากนัก ในพระศาสนจักร ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเธอสอนหนังสือเด็ก ดูแลผู้ยากไร้ และคนเจ็บป่วยตามโรงพยาบาล และปฏิบัติพันธกิจในหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ต่าง ๆ เพราะผู้หญิงมีบทบาทตลอด ตั้งแต่ในอดีต… หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์…
โยเซฟผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร…กับปัญหาที่ต้องเผชิญ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสว่า ในประวัติศาสตร์แห่งความรอด พระเจ้าทรงเลือกคนขึ้นมา เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ และกระทำพันธกิจของพระองค์ แต่คนที่ได้รับเลือกจากพระเจ้า จะต้องแบกรับปัญหาหนักไว้บนบ่าของตน โดยที่ไม่มีวันเข้าใจด้วยซ้ำว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น?? เช่นเดียวกับนักบุญโยเซฟ แบกรับคำนินทา ของผู้อื่นที่แม่พระทรงครรภ์ ทั้งที่ยังเป็นคู่หมั้นกัน ท่านคิดจะถอนหมั้นเงียบ ๆเนื่องจากแม่พระตั้งครรภ์ก่อน แต่ทูตสวรรค์มาปรากฏในความฝัน บอกว่า อย่ากลัวที่จะรับแม่พระมาเป็นภรรยา นอกจากนี้ ทูตสวรรค์ยังบอกให้ตั้งชื่อบุตร ที่จะเกิดมาว่า “เยซู” เพราะผู้นี้จะช่วยประชากรของพระเจ้าให้รอดพ้นจากบาป พระประสงค์ของพระเจ้าเกิดขึ้นเพื่อช่วยเรา ความรอดจากบาปไม่ได้บังเกิดผล เหมือนในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ เพราะความรอดพ้นของเรา บังเกิดผลในประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงเดินผ่านมาในประวัติศาสตร์ และไปกับประชากรของพระองค์ ดังนั้นไม่มีความรอด ถ้าไม่มีประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การก้าวเดินทีละก้าว ประวัติศาสตร์จึงถูกจารึกขึ้น พระเจ้าทรงสร้างประวัติศาสตร์ พวกเราก็สร้างประวัติศาสตร์ และเมื่อเราพลาดพลั้ง พระเจ้ายังคงเดินไปกับเราตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ความรอด มีคนที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า คนที่พระเจ้าทรงเลือกนั้น พระองค์เลือกมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ ให้ก้าวไปข้างหน้า ผู้ที่ได้รับเลือกอย่างเช่น อับราฮัม โมเสส และเอลียาห์ สำหรับคนเหล่านี้ แน่นอนว่ามีช่วงเวลาแย่ ๆ สำหรับพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะอยากใช้ชีวิตแบบสงบสันติ แต่พระเจ้านำความอึดอัดมาให้กับพวกเขา…
กระดองเต่า…กับกางเขนของเรา ช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา วันที่ฝนฟ้าถล่มกรุงเทพฯ แม้จะเป็นโรงเรียนใหญ่ใจกลางเมือง แต่บริเวณภายในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ บ่อน้ำ และความร่มรื่น …ระหว่างเดินไปห้องน้ำจึงพบกับ “เต่า” … ใช่ครับเต่านี่แหละถูกต้องแล้ว กำลังเดินอยู่กลางถนน คงออกมาเดินเล่นฝนจากบ่อในสวนของโรงเรียน ความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามา ในระหว่างเดินกลับมานั่งทำงานต่อ “เต่ามันจะรู้สึกนะกระดองมันไหมนะ??” จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ “กระดองเต่า” หาวนไป … ข้อมูลที่พบคือขนาดกระดองที่ใหญ่ จะทำให้เต่ามีน้ำหนักมากขึ้นตามขนาดกระดองด้วยเช่นกัน คำตอบและความคิดต่าง ๆ เริ่มค่อย ๆ พรั่งพรูออกมา นั่นสิ! เพราะกระดองคือส่วนหนึ่งของเต่า จะหาน้ำหนักได้ ก็ต่อเมื่อมันตาย เน่าเปื่อยและเหลือเพียงกระดองเท่านั้น จึงจะรู้ว่ากระดองมีน้ำหนักเท่าไร บทเรียนที่ผมได้จากเต่าตัวนั้น ที่อยากจะแบ่งปันพี่น้องทุกคนคือ ในเมื่อ “กระดองเต่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเต่า” มันคงไม่รู้สึกหนักเลย เพราะติดตัวมันมาตั้งแต่ออกจากไข่แล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน เพราะกระดองนี่แหละ ที่คอยป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสู่ชีวิตของมัน ไม่ว่าจะจากผู้ล่า หรือจากศัตรูใด ๆ ก็ตาม หัวและขาทั้งสี่ของมันสามารถหดเข้าไปในกระดองได้ จึงทำให้มันมีชีวิตที่ยืนยาว กระดองที่หนา แข็ง และหนักนี่เอง ที่รักษาชีวิตของเต่าเอาไว้ และเราคงเคยได้ยินเรื่องราวการวางไข่ของเต่าทะเล…
บ้านหลังสุดท้ายของพระนางมารีย์…บนแผ่นดินนี้ พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรง ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนางมารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน (ยน 19 : 25-27) ข้อความข้างต้นเป็นเรื่องราวจากพระวรสารนักบุญยอห์น ตอนที่พระเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมารดาของพระองค์ และยอห์น อัครสาวกที่พระองค์ทรงรัก จึงฝากฝังให้ยอห์น ดูแลพระมารดาของพระองค์ บรรดาผู้สืบเสาะหาความจริงต่างลงความเห็นว่า… ยอห์นผู้เป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ได้รับเอาพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าไปอาศัยอยู่บ้านของตน นอกจากนั้น ภายหลังพระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์แล้ว บรรดาสาวกก็แยกย้ายกันไปประกาศข่าวดี โดยมุ่งสู่เมืองใหญ่ ๆ ในแถบเอเชียน้อย เช่นแคว้นกาลาเทีย โคโลสี เอเฟซัส ส่วนยอห์นผู้เป็นอัครสาวก ก็มุ่งสู่เมืองเอเฟซัส ท่านได้ทำพันธกิจ และประกาศข่าวดีที่เมืองนี้ จนมีข่าวเล่าลือสืบต่อกันมาว่า ท่านได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ “พระศาสนจักรแห่งเอเฟซัส” ทั้งท่านได้ใช้เวลาในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ที่เมืองนี้จนถึงแก่กรรมที่นี่ และเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าท่านได้นำพระแม่มารีย์มาพำนักอยู่ที่นี่ด้วย ท่านถึงแก่กรรมประมาณปี ค.ศ. 100 แล้วบ้านหลังที่พระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าพำนักนั้น ตั้งอยู่ที่ใด เริ่มจากนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ เคลเมนท์…
พลังชีวิต ชีวิตคนเรานั้นเป็นพลังที่ไม่อยู่เฉย เรามีพลังทั้งร่างกายและจิตใจ ความคิดของคนเราหยุดยั้งไม่ได้ คนเราคิดอยู่ตลอดเวลา และอำเภอใจของเราก็ไม่มีขีดจำกัด อยู่ที่เราแต่ละคน จะเป็นนายหรือเป็นบ่าว ของพลังความคิด และอำเภอใจนี้ แต่ด้วยการฝึกฝน เพื่อที่จะรู้จักตนเอง รู้จิตใจของตนเอง รู้ถึงจุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง และด้วยคำภาวนา การปฏิบัติศาสนกิจ และกิจการดีต่าง ๆ ด้วยดีของเรา เราแต่ละคนจึงจะเป็นคริสชนที่ดีได้ มีข้อคิดแห่งชีวิตที่ดีหลายข้อที่พอจะช่วยได้ : Noverim me – Noverim Te “ขอข้าพเจ้ารู้จักตัวข้าพเจ้าเอง เพื่อที่จะรู้จักพระองค์” (นักบุญออกัสติน) อย่ามัวคิดโอดครวญ กับอดีต ซึ่งนำมาแต่น้ำตา (tears) อย่ามัวคิดหวาดผวา กับอนาคต ซึ่งนำมาแต่ความกลัว (fears) จงอยู่กับเวลาปัจจุบัน ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนำมาแต่คำขอบคุณ (cheers) การทดสอบในชีวิตของเรา ทำให้เราขื่นขม (bitter) หรือดีขึ้น (better) ปัญหาในชีวิตเข้ามาหาเรา ทำให้เรายืนหยัด (make us) หรือแตก (break us)…
ยอมรับ…ปล่อยวาง การยอมรับ ไม่ใช่การยอมจำนน หรือยกเลิก แต่มอบถวายความหวัง ความเศร้า ความกังวลทั้งหมดไว้กับพระเจ้า วางใจในพระองค์ ความรักของพระองค์จะปกป้องเรา ในทุกขณะของชีวิต ท่าทีของการยอมรับ คือคำภาวนาที่หนักแน่น หันชีวิตของเราไปยังพระเจ้า ในทุกจังหวะของการเต้นของหัวใจ เลิกมีชีวิตในอดีตที่ผ่านไป แล้วและพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ชีวิตคือสถานที่นี้ ณ เวลานี้ และลมหายใจในตอนนี้ การยอมรับ คือแหล่งกำเนิดแท้ของความสงบ เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ในความปวดร้าว และผลกระทบอื่นๆ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราอาจจะแก้ไข หรือทำอะไรไม่ได้ในวันนี้ จงยอมรับเถิด เมื่อเราทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว จงปล่อยวางส่วนที่เหลือไว้ให้กับพระองค์ ยอมรับตนเอง พระผู้ทรงสร้างเราขึ้นมานั้น แค่คิดเกี่ยวกับเรา พระองค์ก็ทรงมีความยินดีแล้ว ในวันนี้ จงชื่นชมทุกสิ่งที่เราเป็น ทุกสิ่งที่เรากำลังเป็น และทุกสิ่งที่เราจะเป็นเถิด ยอมรับความเป็นมนุษย์ปุถุชน คนเราผิดพลาดกันได้ ยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติ พระเจ้าผู้ประทับอยู่ในตัวเรา จะเพิ่มพลังให้เราขึ้นใหม่ อย่าสนใจการตำหนิที่ไม่ยุติธรรม คนอื่นทำร้ายเราได้ก็ต่อเมื่อ เราเองยอมให้เขาทำ อย่าพยายามทำให้ทุกคนพอใจ ความรักเริ่มจากในบ้านก่อน อย่าเอาความตั้งใจดีของเราไปบังคับผู้ใด เราจะช่วยใครไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเขายอมให้เราช่วย ตั้งเข็มทิศแห่งจิตวิญญาณของเรา ในทิศแห่งการให้อภัย ซึ่งจะช่วยเราให้พบทางออกจากความขมขื่น…
อาวุธร้ายแรงที่สุดของปีศาจ ร้านขายของแห่งหนึ่ง ขายของที่เป็นอาวุธของปีศาจ เป็นเครื่องมือในการประจญต่าง ๆ ที่ปีศาจใช้ล่อลวงมนุษย์ ได้แก่ ความโกรธ | ตั้งราคาไว้ 2,000 บาท ความขี้เกียจ | ตั้งราคาไว้ 1,000 บาท การนินทาใส่ร้าย | ตั้งราคาไว้ 3,000 บาท ความอิจฉาริษยา | ตั้งราคาไว้ 5,000 บาท ความท้อถอย | ตั้งราคาไว้ 20,000 บาท จึงมีคนถามว่า ทำไมชิ้นที่ดูเหมือนธรรมดาดูเผิน ๆ ไม่เป็นบาปด้วยซ้ำ ทำไมจึงราคาสูงถึง 20,000 บาท แพงกว่าเครื่องมือแบบอื่น ๆ ที่ดูร้ายแรงกว่า ปีศาจตอบว่า “ความท้อถอยหมดกำลังใจที่จะทำความดี” นี่แหละคือเครื่องมือที่ดีที่สุดของข้า ความท้อถอย หมดความอดทน ไม่มุมานะในตัวเองไม่ใช่บาป แต่เป็นเครื่องบั่นทอนมนุษย์ ไม่ให้ทำความดี และทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ สิ่งดีงามที่ควรเกิดขึ้น เลยไม่เกิดขึ้น โลกจึงสับสนและวุ่นวาย เมื่อไม่มีความดีความชั่วร้ายก็ทวีขึ้น…
บทภาวนาพิเศษแด่พระมารดานิจจานุเคราะห์ ต่อสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรน่า ข้าแต่พระมารดานิจจานุเคราะห์ + ลูกขอสวดภาวนาต่อพระรูปอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่ + ด้วยความไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง + ลูกขอวิงวอนต่อพระแม่ + สำหรับผู้ที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดไวรัสโคโรน่า + โปรดบรรเทาใจทุกคนที่กำลังเป็นทุกข์ + และต้องทรมานเพราะความเจ็บไข้ + โปรดปกป้องคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ + ที่กำลังอุทิศชีวิตและทำงานหนักในขณะนี้ + โปรดดลใจให้บรรดาผู้นำประเทศทั่วโลก + เพื่อพวกเขาจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง + และเพื่อให้ประชาชนทุกคนร่วมใจกัน + ให้มีความรับผิดชอบต่อกันและกันและต่อสังคม + โปรดสอนให้พวกลูกไว้ใจในความรักและความเมตตาของพระบิดาเจ้า + เพื่อจะได้มีความกล้าหาญและอดทนเฉกเช่นพระแม่ + ผู้อยู่ใต้เชิงกางเขนขององค์พระบุตรสุดที่รัก + เผื่อพวกลูกจะได้ร่วมชื่นชมยินดีกับพระแม่ + ในการกลับคืนชีพขององค์พระบุตรด้วยเทอญ อาแมน โดย คณะพระมหาไถ่ แห่งประเทศไทย
ภาวนาเหมือนเด็กเล็ก ๆ ถ้าคุณได้ยินเวลาเด็ก ๆ สวดภาวนาคุณต้องตกหลุมรักพวกเขาแน่ ๆ เวลาที่พวกเขาอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า คำภาวนาของพวกเขาช่างไร้เดียงสาไม่มีความกังวลและความกังวลและความกลัวว่าจะพูดอะไรผิด พวกเขามั่นใจว่ามีใครคนหนึ่งที่คอยฟังคำภาวนาของเขาจริง ๆ พวกเขาวอนขอพระพรและอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ขอแล้วขออีก ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ แล้วกับพวกเราล่ะ เกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเราเติบโต และเรียนรู้ว่ามีวิธีสวดภาวนาแบบเป็นทางการซึ่งเราต้องฝึกท่องตามสูตรที่ดูเหมือนทำให้ความกระตือรือร้นในการภาวนานั้นจางหายไป คำภาวนาของเรากลายเป็นเหมือนเครื่องจักรที่จำเจและน่าเบื่อหน่าย จนบางครั้งการสวดภาวนาก็เป็นยาหลับที่ดีเยี่ยม ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราไม่ได้ซาบซึ้งจริงจังนัก เมื่อเราอธิษฐานภาวนา ฉันยอมรับว่าตัวฉันเองก็มีปัญหาเสมอ ๆ เมื่อต้องภาวนา ข้อแรกฉันมองว่าการภาวนาเป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การภาวนาไม่ได้มาจากใจอิสระ เมื่อคิดในแง่นี้ใครกันล่ะที่อยากจะภาวนา เมื่อไรก็ตามที่การภาวนากลายเป็นหนึ่งในรายการของสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน ความกระตือรือร้นความมีชีวิตชีวาก็หายไปทันที ประการที่สอง ฉันโตมากับความคิดที่ว่า เมื่อคุณต้องการทำสิ่งใดให้สำเร็จ คุณต้องทำด้วยตนเองจึงจะเป็นจริงได้ การสวดภาวนาไม่เคยช่วยให้สำเร็จได้หรอก (ซึ่งความคิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย) แล้วถ้าเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความสามารถของคุณล่ะ เมื่อนั้นแหละคุณจึงหันกลับไปหาการภาวนา เพราะแผนการแรกของคุณไม่สำเร็จ แผนที่สองที่สามก็ไม่ได้ผล แต่ส่วนตัวฉัน ฉันก็ยังไม่สวดภาวนาอยู่ดี ทำไมนะหรือ? ก็เพราะฉันเชื่อในคำโกหกที่บอกฉันว่า “พระเจ้าไม่เคยสนใจฉัน และพระองค์ช่วยฉันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก” และหากฉันต้องอธิษฐานภาวนา ฉันก็มักคิดว่าฉันกำลังกวนใจพระองค์ พระองค์ไม่ได้ต้องการฟัง และไม่เคยฟังคำอธิษฐานของฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อวันเวลาผ่านไป ฉันก็ได้รู้ว่า ฉันมีความรู้น้อยและเข้าใจผิดมากในเรื่องการภาวนา…
เมื่อฉันได้พบและกอดนักบุญ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1995 เมลิสสา เบรนต์ เด็กนักเรียนชาวโคลัมเบีย วัย 7 ขวบ พร้อมกับ จัสติน ฟาลิเนลลี วัย 9 ขวบ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ซึ่งเสด็จเยือนเมืองบอลทิมอร์ สหรัฐอเมริกา ภายในวันนั้นไม่เคยลบเลือนไปจากหัวใจของเธอ และเธอมักคิดทบทวนถึงการพบกับพระสันตะปาปาในครั้งนั้นอยู่เสมอ เมื่อเธอได้ทราบข่าวว่า พระองค์จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญ เธอจึงไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความปีติยินดีไว้ได้ “แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ยังคงกระจ่างชัดในใจของฉัน ความรู้สึกยังคงอยู่ถึงวันนี้ ฉันได้พบกับนักบุญ” ขณะนี้เมลิสสาเป็นพยาบาลอยู่ที่เวอร์จิเนีย บีช สหรัฐอเมริกา เธอายุ 26 ปีแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1995 เมลิสสากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนวิลเลียมแห่งนิวยอร์ก เมืองบอลทิมอร์ เมลิสสาและจัสติน หนูน้อยทั้งสองคน ได้รับเลือกให้เป็นผู้ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ณ…
ความสุขระหว่างทาง ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น แต่เมื่อมีลูกและลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูก ๆ จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนาน ๆ และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ แต่ในที่สุดเราจะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องมีความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้ เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล…
ว่าด้วย…กำเนิดของพระนางมารีย์ พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงกำเนิดของพระนางพรหมจารีมารีย์ มีเพียงบันทึกธรรมประเพณีที่เล่าเรื่องอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงคู่สามีภรรยา ยออากิมและอันนา จากพงศ์พันธุ์ดาวิด ทั้งสองมีอายุมากแล้ว แต่ไม่มีบุตร และรู้สึกสิ้นหวังในเรื่องการกำเนิดพระผู้ไถ่ที่ประชากรรอคอย เทวดาองค์หนึ่งประจักษ์มาแก่อันนา กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสดับฟังคำภาวนาของเธอแล้ว เธอจะให้กำเนิดบุตร และผู้คนจะพูดถึงการมีบุตรนี้ไปทั่วทั้งแผ่นดิน” อันนาตอบว่า “เมื่อฉันให้กำเนิดบุตร ฉันจะถวายเขาแด่พระเจ้า เพื่อเขาจะได้ถวายการรับใช้พระองค์ทุกวันจนตลอดชีวิต” ในเวลาเดียวกันนั้น ยออากิมเดินทางไปยังทะเลทรายเพื่อสวดภาวนาขอพระเจ้า ทูตสวรรค์ได้มาหาท่านเช่นกัน กล่าวว่า “พระเจ้าทรงได้ยินความทุกข์ของท่านแล้ว จงไปที่เยรูซาเล็ม เนื่องจากภรรยาของท่านจะตั้งครรภ์” ยออากิมได้ปฏิบัติตาม ทั้งสองพบกันด้วยความปลาบปลื้มที่ธรณีประตูทอง ตามที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ ในภาพเขียนยุคกลาง นางอันนาโผเข้ากอดสามี กล่าวว่า “บัดนี้ ฉันทราบแล้วว่าพระเจ้าทรงอวยพระพรให้เราอย่างเปี่ยมล้น เพราะก่อนหน้านี้ฉันเป็นเสมือนหญิงม่าย ฉันเคยเป็นหมัน และขณะนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์” และพระนางมารีย์ก็ได้ถือกำเนิดจากสามีภรรยาที่เป็นหมันนี้ เราไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มาของข้อความเหล่านี้ แต่เชื่อกันว่าส่วนหนึ่งมาจากนักบุญ เกรโกรีแห่งนิส (Gregoire de Nysse นักเทววิทยามณกรรมประมาณ ค.ศ. 394) ซึ่งกล่าวว่าอันนาและยออากิมเป็นบิดามารดาของพระนางมารีย์ และมีที่มาอีกส่วนหนึ่งจากนักบุญโซโฟรน (Sophrone : มรณกรรม ค.ศ. 638) พระสังฆราชแห่งกรุงเยรูซาเล็ม…
ทำไมการสวดลูกประคำในครอบครัว จึงมีความสำคัญมาก เพราะการเสียความเชื่อมีสาเหตุมาจากการไม่สวดลูกประคำพร้อมกันในครอบครัว ในประเทศออสเตรีย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสเรียกได้ขาดหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครเข้าบ้านเณรเลย ดังนั้น สภาสังฆราชจึงจัดให้มีการประชุมพระสังฆราชทั้งหมด เพื่อค้นหาความจริง ผลสรุปก็คือสงครามโลกได้ทำลายชีวิตครอบครัวอย่างมหันต์ จนการสวดลูกประคำในครอบครัวซึ่งได้ปฏิบัติกันมาเป็นศตวรรษได้ยุติลง และยังไม่ได้เริ่มสวดกันใหม่ เมื่อไม่มีการสวดลูกประคำ ก็ไม่มีความเชื่อ คาทอลิกคนหนึ่งเป็นคนศรัทธามาก เป็นเสาหลักของหมู่บ้านคริสตชน แต่ลูก ๆ ของเขา ไม่แก้บาปรับศีล ไม่ไปร่วมมิสซา และได้ทิ้งศาสนาไปทีละคน เพราะเย็นวันหนึ่ง ขณะที่พวกเขากำลังจะสวดลูกประคำ ลูกคนหนึ่งก็เปิดโทรทัศน์ดู ความหายนะก็เริ่มเกิดขึ้นในครอบครัว เมื่อครอบครัวทิ้งลูกประคำ พวกเขาก็ทิ้งความเชื่อในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงส่งพระมารดาของพระองค์มาที่ฟาติมา เพื่อบอกเราให้สวดลูกประคำทุก ๆ วัน เราควรทำตามที่แม่พระขอร้อง ในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองนาซาเร็ธ เวลาแม่พระขอร้องอะไร จะต้องขอถึงสองครั้งหรือ ถ้าเราต้องการเลียนแบบพระเยซูเจ้า เราต้องทำสิ่งที่พระมารดาของพระองค์ทรงขอร้อง เราต้องไม่ดื้อดึงต่อพระมารดาของพระเจ้า แม่พระทราบดีว่าเราอยู่ในภัยอันตาย เราต้องต่อสู้กับปีศาจในสงครามแห่งการกอบกู้วิญญาณ แม่พระเห็นถึงภัยต่าง ๆ ที่กำลังเล่นงานเรา ดังนั้น แม่พระจึงเตือนเราว่า “ลูกต้องสวดลูกประคำทุกวัน” ถ้าช่างซ่อมรถยนต์เตือนเราว่าเราต้องซ่อมรถ มิฉะนั้นรถจะเสีย แน่นอน เราจะฟังคำเตือน ถ้าหน้าปัดบอกว่าน้ำมันจะหมดแล้ว เราจะไม่ทำอะไรเลยหรือ…
แม่พระรู้! ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นสังคมใหม่ที่ผมพยายามเรียนรู้และปรับตัว เพราะมีเพื่อนใหม่ที่มาจากโรงเรียนต่าง ๆ เกือบทุกจังหวัด สิ่งที่ผมยึดถือเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ คือการช่วยเหลือ แบ่งปัน บทเรียนใดที่เพื่อน ๆ ไม่เข้าใจ ผมจะช่วยอธิบายหรือติวให้ก่อนสอบด้วยความทุ่มเท เพื่อให้เพื่อน ๆ ทุกคนสอบผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากการเรียนในคณะของผมค่อนข้างยาก หากวิชาใดสอบไม่ผ่านหรือติด “F” อาจทำให้ไม่สามารถเรียนจบหลักสูตรภายใน 4 ปี จึงทำให้ทุกครั้งที่มีการสอบ เพื่อน ๆ ที่เกรดเฉลี่ยไม่ดีจะมีความกังวลมาก วันใกล้สอบวันหนึ่ง เพื่อน ๆ บอกให้ผมเลือกที่นั่งสอบด้านหน้า เพื่อให้เพื่อนคนอื่น ๆ นั่งต่อท้าย เมื่อเวลาเพื่อนทำข้อสอบไม่ได้จะได้ถามผมซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า การสอบที่ผ่านมาทุกครั้ง อาจารย์จะให้นักศึกษาเลือกที่นั่งเอง เนื่องจากข้อสอบเป็นอัตนัยทั้งหมด อาจารย์จึงไม่เข้มงวดกับการเลือกที่นั่ง เมื่อวันสอบมาถึงเพื่อน ๆ ก็มาสั่งผมอีกครั้งให้เลือกที่นั่งตามที่พวกเขาเคยบอกไว้ ผมลำบากใจมากเพราะชีวิตในโรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ 15 ปี บอกให้ผมเป็นคนซื่อสัตย์ ทุกครั้งที่สอบครูที่โรงเรียนก็จะบอกให้พวกเราทำข้อสอบด้วยความสามารถของตนเอง มีความซื่อสัตย์ ห้ามทุจริต คำที่ครูสั่งสอนอยู่ในใจผมเสมอ แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารเพื่อน อยากให้ทุกคนสอบผ่าน ผมยืนอยู่หน้าห้องสอบ นึกในใจว่า “จะมีใครรู้ความลำบากใจของผมไหมนะ…
แม่พระ…แบบอย่างแห่งฤทธิ์กุศลทั้งปวง พระนางพรหมจารีมารีย์เป็นผู้มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ตลอดทั้งชีวิตแม่พระเป็นผู้ที่สุภาพถ่อมตน และยิ่งแม่พระมีความสุภาพถ่อมตนมากเพียงใด พระเจ้าก็ทรงยิ่งยกย่องพระแม่มากขึ้นเพียงนั้น นักบุญมัทธิวเขียนไว้ในพระวรสารว่า “ใครที่ถ่อมตัวลงก็จะได้รับการยกให้สูงขึ้น” (มธ.23:12) ดังนั้น เมื่อพระบุตรทรงมีแผนการที่จะรับเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่มนุษยชาติ พระองค์จึงทรงทรงเลือกพระมารดาของพระองค์ จากบรรดาสตรีที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และสุภาพถ่อมตัวที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า แม่พระเป็นสตรีที่มีความอ่อนโยน สุภาพที่สุด เปี่ยมด้วยฤทธิ์กุศลและคุณความดีครบครัน แม่พระวางตนเป็นผู้ต่ำต้อย เป็นสตรีธรรมดา ๆ คนหนึ่ง และเพราะด้วยความสุภาพถ่อมตัว ทำให้แม่พระได้รับเลือกเป็นมารดาของพระเจ้าและมารดาของชาวเรา ในความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระแม่นี้เอง เป็นภาพสะท้อนให้กับเรามนุษย์ทุกคนที่ได้ประสบและได้เรียนรู้จักชีวิตของพระแม่ เรามองเห็นความศักดิ์สิทธิ์จากฤทธิ์กุศลต่าง ๆ ที่แสดงออกในชีวิตของพระแม่ เริ่มตั้งแต่พระแม่ทรงบังเกิด พระแม่มีความรักต่อพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และเจริญชีวิตสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ พระแม่ได้แสดงตนอยู่ในการถือศีลพรหมจรรย์ จนกระทั่งทูตสวรรค์ได้มาแจ้งสารแด่พระแม่ และด้วยความสุภาพอย่างสูงสุด พระแม่ได้ยอมสละน้ำใจของตนเอง เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า จนสามารถกล่าวตอบทูตสวรรค์ได้ว่า “ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่านเถิด” (ลก1:38) และตลอดชีวิตของพระนางได้แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์นี้ จวบจนกระทั่งได้สิ้นพระชนม์ แม่พระเปี่ยมด้วยพระหรรษทาน และเป็นเจ้าของฤทธิ์กุศลทั้งมวล นักบุญโทมัสกล่าวว่า“นักบุญแต่ละองค์เป็นยอดของฤทธิ์กุศลคนละอย่าง เช่น ฤทธิ์กุศลความบริสุทธิ์ ความสุภาพ และความเมตตากรุณา แต่แม่พระเพียบพร้อมด้วยฤทธิ์กุศล (คุณธรรม) ทุกประการ และเป็นแบบอย่างของฤทธิ์กุศลทั้งมวล”
สารของแม่พระฟาติมา ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม – 13 ตุลาคม ค.ศ. 1917 พระนางพรหมจารีมารีย์ได้ประจักษ์มา 6 ครั้ง ที่ฟาติมา ประเทศโปรตุเกสแก่เด็กเลี้ยงแกะ 3 คน ได้แก่ ยาชินทา มาร์โต (Jacinta Marto) อายุ 7 ขวบ ฟรังซิสโก มาร์โต (Francisco Marto) พี่ชายอายุ 9 ขวบ และลูซีอา โดสซันโตส (Lucia Dos Santos) ลูกพี่ลูกน้องวัย 10 ขวบ ผู้รับการประจักษ์ 2 คนแรกเสียชีวิตในวัยเยาว์ ตามที่แม่พระได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า คือยาชินทาเสียชีวิตในปี 1920 ขณะที่อายุ 9 ขวบ ส่วน ฟรังซิสโกในปี 1919 ด้วยวัย 11 ขวบ…
รอยยิ้มของแม่พระ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และซิสเตอร์คนหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน ทั้งสองกำลังสวดภาวนาอยู่อย่างร้อนรน คนหนึ่งเป็นชาวเยอรมัน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งสองมิได้ใช้คำพูดใด ๆ แต่กิริยาท่าทางของทั้งสองแสดงออกถึงการให้กำลังใจแก่กันและกัน ไม่ไกลจากที่นั่น มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ กลิ่นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่สมเด็จพระสันตะปาปา บเนดิกต์ที่ 16 ทรงใช้เจิมผู้ป่วย ก่อนที่จะปกพระหัตถ์เหนือพวกเขา ซิสเตอร์ผู้ป่วยกล่าวในภายหลังว่า “ดิฉันประทับใจมากกับความอ่อนโยน ความชื่นชมยินดี และการเสด็จมาของพระองค์ เพื่อผู้อื่น” เช้าวันที่ 15 กันยายน 2008 ที่ลูร์ด ผู้ป่วยอีก 10 ท่าน เช่นเดียวกับเธอทั้งสอง ได้รับการโปรดศีลเจิมผู้ป่วยจากพระหัตถ์ของพระสันตะบิดร ผู้ป่วยมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ โรคโครโมโซมผิดปกติทำให้ปัญญาอ่อนหรือพิการแต่กำเนิด ฯลฯ พระสันตะปาปาทรงแสดงความสนพระทัยต่อผู้ป่วยแต่ละคน พระสันตะปาปาตรัสว่า “พระหรรษทานโดยตรงของศีลเจิมผู้ป่วย คือการต้อนรับพระคริสต์ผู้ทรงเป็นหมอรักษาโรค อย่างไรก็ตาม ในการรักษาเรามนุษย์ พระองค์มิได้ทรงปรากฏพระกายให้เราเห็น แต่ประทานความบรรเทาด้วยการเสด็จมาประทับอยู่กับผู้ป่วย ทรงแบกความเจ็บป่วยไว้ และทรงเจริญพระชนมชีพร่วมกับเขา” สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงเชื้อเชิญบรรดาผู้ป่วยให้ “เพ่งดูรอยยิ้มของพระนางพรหมจารีมารีย์” เพราะ “น้ำตาของผู้ป่วยคือ น้ำพระเนตรของพระนางเองที่เชิงกางเขน…
ทำไมเราสวดสายประคำทุกวัน? นักบุญดอมินิก ถัดจากการสวดภาวนาประจำวันและการถวายมิสซา ไม่มีการภาวนาใดเป็นที่พอพระทัยพระเยซูเจ้าและพระมารดาของพระองค์ เท่ากับการสวดลูกประคำอย่างร้อนรน เพราะงานกอบกู้วิญญาณเริ่มต้นเมื่อเทวดาถือสารมาแจ้งแก่พรหมจารีมารีอา ซึ่งเป็นบทวันทามารีอา แต่ละบทที่เราสวด เราฝากความรอดของเราไว้ในพระหัตถ์ของแม่พระ นักบุญหลุยส์ มารีย์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ต ลูกประคำไม่ใช่เป็นการสวดแค่บทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอาเท่านั้น แต่ยังเป็นการรำพึงถึงรหัสธรรมแห่งชีวิต พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และพระสิริโรจนาของพระเยซูและพระมารดามารีอา นักบุญเบอร์นาร์ด บทวันทามารีอาขับไล่ปีศาจ และทำให้นรกสั่นสะเทือนด้วยความหวาดกลัว นักบุญปีโอ ที่ 10 – พระสันตะปาปา ลูกประคำเป็นการสวดที่ประเสริฐสุด เสียงสวดดังจากทุกส่วนของโลก พร้อมกันถวายคำวิงวอนแด่พระนางพรหมจารีมารีอา ในขณะที่ผู้สวดรำพึงถึงรหัสธรรมต่าง ๆ นำพระพรของพระแม่มาให้พระศาสนจักรอย่างไม่ขาดสาย บุญราศีปีโอ ที่ 9 ความศรัทธาต่าง ๆ ที่พระศาสนจักรอนุมัติ ไม่มีความศรัทธาใดที่ทำมหัศจรรย์อย่างมากมายเท่ากับการสวดลูกประคำ พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 วิธีที่แน่นอนที่สุด ในการนำพระพรของพระเจ้าลงมาสู่ครอบครัว คือ การสวดลูกประคำประจำวัน พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 16 เรามั่นใจว่าการสวดนี้ไม่เพียงถวายพระเกียรติแด่พระนางพรหมจารีมารีอา ในทุกแห่งทุกเวลา แต่ยังแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน เพราะเป็นบทภาวนาธรรมดาง่าย ๆ…
บทภาวนาแด่แม่พระเมืองลูร์ด ข้าแต่พระแม่มารีย์ พระแม่ได้ทรงประจักษ์มาแก่นักบุญแบร์นาแด๊ต ท่ามกลางความเหน็บหนาวและมืดมนแห่งเหมันต์ พระแม่ได้ทรงมอบความอบอุ่น แสงสว่าง และความงดงาม ท่ามกลางความมืดมนของชีวิต และในโลกมืดของอำนาจความชั่วร้าย ขอพระแม่โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวัง และความไว้วางใจ ข้าแต่พระแม่ ผู้ทรงเป็นการปฏิสนธินิรมล โปรดเสด็จมาช่วยเหลือข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็นคนบาป โปรดประทานความสุภาพถ่อมตนแห่งการกลับใจ และความกล้าหาญในการใช้โทษบาป โปรดสอนให้ข้าพเจ้าทั้งหลายภาวนาเพื่อมนุษย์ทุกคน โปรดนำข้าพเจ้าทั้งหลายสู่ต้นธารแห่งชีวิตที่แท้จริง โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้จาริกก้าวเดินในใจกลางพระศาสนจักรของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายกระหายศีลมหาสนิท ปังทรงชีวิต มากยิ่งขึ้น ข้าแต่พระแม่มารีย์ พระจิตเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์ในพระแม่ โดยอาศัยพลานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงนำพระแม่ให้อยู่ใกล้พระบิดาในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาล โปรดทอดพระเนตรความทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดทอแสงอันอ่อนหวานของพระแม่แก่ทุกคน ในเวลาที่ต้องผ่านความตาย ข้าพเจ้าทั้งหลายภาวนาวอนขอพระแม่มารีย์ พร้อมกับนักบุญแบร์นาแด๊ต ผู้เรียบง่าย โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าสู่จิตตารมณ์แห่งความสุขแท้ เช่นเดียวกับท่าน เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้เริ่มต้นลิ้มรสความชื่นชมยินดีแห่งพระอาณาจักร และร้องเพลงมักนีฟีกัตพร้อมกับพระแม่แต่ในโลกนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายเกียรติแด่พระนางพรหมจารีมารีย์ พระมารดาของพระเจ้า ข้ารับใช้ผู้ทรงบุญของพระองค์ และที่ประทับของพระจิตเจ้า อาแมน
พระนางมารีย์ ดวงดาราแห่งความหวัง พระศาสนจักรกล่าวทักทายพระนางมารีย์ พระชนนีของพระเป็นเจ้า ด้วยบทเพลง “วันทาดาราสมุทร” (Ave maris stella) ซึ่งแต่งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 หรือ 9 กว่าพันปีมาแล้ว ชีวิตมนุษย์เป็นการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางใด เราพบเส้นทางนั้นได้อย่างไร ชีวิตเป็นเสมือนการเดินทางในทะเลแห่งประวัตศาสตร์ ซึ่งมักจะมืดมิดและมีพายุ เป็นการเดินทางที่เราเฝ้ามองหาดวงดาว ที่จะช่วยนำทางให้เรา พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นแสงสว่างแท้ เป็นดวงอาทิตย์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเงามืดในประวัติศาสตร์ แต่เพื่อไปถึงพระเยซูเจ้า เราต้องการแสงสว่างที่อยู่ใกล้ ๆ เราคือ บรรดาผู้คนที่ส่องสว่างด้วยแสงของพระองค์ และช่วยนำเราไปตามเส้นทางเดินของเรา ใครจะสามารถเป็นดวงดาวแห่งความหวังสำหรับเราได้ดีไปกว่าพระนางมารีย์เล่า ด้วยคำ “ตอบรับ” ของพระนาง พระนางได้เปิดประตูโลกของเรารับองค์ พระเจ้าเอง พระนางกลายเป็นหีบพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงรับเอากายเป็นมนุษย์ กลายมาเป็นหนึ่งในพวกเรา และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา (เทียบ ยน 1:14) เราจึงขอภาวนาต่อพระนางดังนี้ “ข้าแต่พระนางมารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระนางทรงเป็นหนึ่งในบรรดาวิญญาณต่ำต้อยผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอล เหมือนท่านสิเมโอนผู้ “กำลังรอคอยความพ้นของอิสราเอล” (ลก 2:25) และเหมือนนางอันนาผู้ “รอคอยการไถ่กู้กรุงเยรูซาเล็ม” (ลก 2:38) ชีวิตของพระนางเปี่ยมด้วยพระคัมภีร์แห่งอิสราเอลที่กล่าวถึงความหวัง ถึงพระสัญญาที่ให้ไว้แก่อับราฮัมและบุตรหลานของท่าน (เทียบ…
บทวันทามารีอา…พระพรแห่งสวรรค์ บทวันทามารีอา ดึงพระพรอุดมของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีอาจากสวรรค์ลงมาหาเรา พระองค์และพระแม่ประทานรางวัลอย่างมหัศจรรย์แก่ผู้ที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ พระองค์ทรงตอบแทนเราร้อยเท่าทวีคูณ สำหรับคำสรรเสริญที่เราถวายแด่พระองค์ “ผู้ใดหว่านพระพร ผู้นั้นเก็บเกี่ยวพระพร” การสวดลูกประคำอย่างดีเป็นการถวาย ความรัก พระพร และพระเกียรติแด่พระเยซูเจ้าและพระนางมารีอา ในบทวันทามารีอา เราถวายพระพรแด่พระเยซูเจ้าและพระนางมารีอา “ผู้มีบุญกว่าหญิงใด ๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา” โดยบทวันทามารีอา เราถวายแด่พระนาง มารีอาพระเกียรติ ซึ่งเป็นพระเกียรติเดียวกับที่พระเเจ้าได้ประทานแก่พระแม่ เมื่อพระองค์ทรงส่งอัครเทวดาเกเบรียลนำสารของพระองค์มาให้พระแม่ เป็นไปไม่ได้เลยที่พระเยซูเจ้า ผู้ทรงกระทำดีต่อคนที่ด่าว่าพระองค์ จะไม่ทำดีต่อคนที่อวยพรและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยบทวันทามารีอา นักบุญเบอร์นาร์ดและนักบุญโบนาเวนเชอร์กล่าวว่า “พระราชินีแห่งสวรรค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความกตัญญูรู้คุณยิ่งกว่ามนุษย์ทุกคนในโลก พระแม่ทรงเป็นเลิศในคุณธรรมความดีทุกชนิด พระแม่ทรงล้ำหน้าเราทุกคนในฤทธิ์กุศลแห่งความกตัญญูรู้คุณ ฉะนั้น พระแม่จะไม่ยอมให้เราถวายพระเกียรติแด่พระแม่ด้วยความรักและความเคารพนับถือโดยไม่ตอบแทนเราร้อยเท่าทวีคูณ” นักบุญโบนาเวนเชอร์กล่าวว่า “ถ้าเราทักทายพระแม่ด้วยบทวันทารีอา พระแม่ก็ทักทายเราด้วยหรรษทาน ทันทีที่นักบุญเอลิซาเบธได้ยินมารดาพระเจ้าทักทายเธอ เธอก็เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและลูกในครรภ์ก็เต้นด้วยความยินดี ถ้าเราทำตัวให้สมควรและเหมาะสมในเวลาสวดบทวันทามารีอา แน่นอน เราก็จะเปี่ยมด้วยหรรษทานและความบรรเทาใจอย่างเหลือล้นในวิญญาณของเรา” หมายเหตุ บทความนี้ เขียนขึ้นตั้งแต่บทวันทามารีย์ … ยังเป็นบทวันทามารีอา (ก่อนการเปลี่ยนแปลง) ทางผู้จัดทำเว็บไซต์ ไม่ต้องการจะแก้ไข เพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร
พระวาจาคือยาวิเศษ…เพื่อการให้อภัย เวลาที่ใครยกโทษให้เรา เราก็ดีใจ จนตัวแทบลอย แต่เวลาที่เราจะต้องยกโทษให้คนอื่น ดูมันยากเย็นเหลือเกิน พระวาจาของพระเจ้า ช่วยให้เรายกโทษให้ผู้อื่นได้ง่ายขึ้น “จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน” (มธ 5 : 44) “จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ท่าน ในองค์พระคริสตเจ้าเถิด” (อฟ 4 : 32) “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกันก็จงยกโทษกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด” (คส 3 : 13) “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” (มธ 6 : 12) “เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” (มธ 6 : 14–15) “ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น” (มธ 5 : 23-24) “ถ้าผู้ใดเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์…
เสียงจากกางเขน “เสียงจากกางเขน” ภาพสะท้อนความเป็นไปของพระศาสนจักรคาทอลิกใต้ดินในประเทศจีน แม้เป็นภาพที่ไม่ชัดเเต่เรายังสามารถเห็น “กางเขน”ได้อย่างชัดเจน คนในภาพคือพระคุณเจ้ายอห์น หานติ่งเสียง แห่งสังฆมณฑลเหอเป่ย ท่านเกิดในครอบครัวคาทอลิกดั้งเดิมที่มณฑลเหอเป่ย ปี ค.ศ. 1952 ได้เข้าบ้านเณร แต่เมื่อมีคำสั่งจากรัฐบาลจีนให้ปิดบ้านเณร ท่านจึงรับการอบรมอย่างลับ ๆ จากคุณพ่อวิญญาณ จากนั้นท่านถูกจับไปทำงานในค่ายแรงงานอย่างยาวนานจนได้รับอิสรภาพ ในที่สุดจึงได้รับศีลบวชเป็นสงฆ์ ในปี ค.ศ. 1986 แสดงว่าท่านคงสถานะความเป็นเณรยาวนานถึง 34 ปี กว่าจะได้บวช จากนั้นสองปี สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตั้งท่านเป็นประมุขสังฆมณฑล และเป็นประมุขของพระศาสนจักรคาทอลิกจีนที่ภักดีต่อสันตะสำนัก ในปี ค.ศ. 1999 ท่านถูกจับและนำไปขังเดี่ยวในตึกที่อยู่เหนือสถานีตำรวจ กระทั่งวันหนึ่งท่านพยายามปีนออกมาตรงระเบียงห้อง และชูไม้กางเขนขึ้นสุดแขน โดยไร้คำพูดใดๆทั้งสิ้น แต่ความหมายนั้นมากมายจากการกระทำมีผู้สามารถถ่ายภาพเอาไว้ได้ เป็นภาพสุดท้ายในชีวิตของท่าน เพราะหลัง จากนั้นท่านถูกย้ายไปที่อื่น โดยไม่มีใครเคยพบท่านอีก กระทั่งปี ค.ศ. 2007 ทางรัฐบาลจีนประกาศว่าท่านเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และเจ้าหน้าที่รัฐได้นำร่างไปเผา รวมถึงฝังเถ้ากระดูกในสุสานสาธารณะ ทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง หลังท่านมรณภาพโดยปราศจากพิธีใด ๆ ครั้งหนึ่งมีคริสตชนกล่าวกับท่านว่า “พวกเรารู้สึกท้อแท้เหลือเกินกับความยากลำบากนี้” ท่านยิ้มและตอบทันใดว่า…
ถุงหนังใหม่ชีวิตใหม่ “วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์น เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือขณะที่เจ้าบ่าว ยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่าง จะไม่เสียหาย” (มธ 9:14-17) พระวรสารตอนนี้ เป็นคำอุปมาของพระเยซูเจ้า เพื่อสอนศิษย์ของยอห์นในเวลานั้น ให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ตลอดจนแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อติดตามพระเจ้า ให้สอดคล้อง กับพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำต่อมนุษย์ ผ่านทางพระคริสตเจ้า เพื่อผู้ที่เชื่อ และวางใจในพระองค์จะได้รับ และได้เข้าใจ โดยไม่ยึดติดอยู่กับธรรมบัญญัติ หรือธรรมเนียมดั้งเดิม ที่ชาวยิวถือปฏิบัติกันอยู่ในเวลานั้น “เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์สมบูรณ์” (มธ 5:17) ผ่านการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน น้ำองุ่นหมักใหม่ จึงหมายถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพันธสัญญาใหม่ ส่วนถุงหนังใหม่นั้น หมายถึงพระศาสนจักร หรือกลุ่มผู้เชื่อที่ต้องปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมรองรับน้ำพระทัยของพระเจ้า ได้อย่างแท้จริง จากพระวรสารตอนนี้ เราสามารถเรียนรู้หลักในการปฏิรูปชีวิตของเรา ให้เป็นถุงผนังใหม่ได้ดังนี้ 1. ปฏิรูปชีวิตส่วนตัว ชีวิตที่ไม่ดำเนินอย่างเป็นธรรมบัญญัติ……
ไม่จดจำและไม่ประณาม สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสสอนว่า เรามักจ้องทำให้คนบาปกลับใจด้วยการประณาม แต่พระเจ้าทรงทำให้คนบาปกลับใจ ด้วยการเข้าไปหาแบบไม่จดจำบาปที่บุคคลนั้นเคยกระทำ เพื่อให้เขาเห็นความจริงว่า เขายังมีค่า มิใช่ตอกย้ำความผิดแบบที่มนุษย์ชอบตอกย้ำเสมอ การเข้าหาของพระเจ้า ทำให้หลายคนประหลาดใจว่า ทำไมพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น แต่นี่คือความประหลาดใจ ที่มุ่งหวังให้คนบาปเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น พระเยซูเจ้าทรงพบ “ศักเคียส” หัวหน้าคนเก็บภาษี ซึ่งถูกชาวยิวเรียกว่า “คนบาป” ศักเคียสทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะยกสมบัติครึ่งหนึ่งให้คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงใครมา จะคืนให้เขาสี่เท่า” . เราจินตนาการได้ถึง ความประหลาดใจของศักเคียส ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเขาให้ลงมาจากต้นไม้ พันธกิจของพระเยซูเจ้าคือ ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป พันธกิจนี้เพื่อมนุษย์ทุกคน และศักเคียสก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แม้ทุกคนจะมองว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ คนบาป และเหยียดหยามเขา แต่พระเยซูเจ้าทรงมองเขาอย่างปราศจากอคติ พระองค์ทรงมองเขาด้วยสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งไม่จดจำความผิดบาปในอดีต แต่มองเห็นอนาคตที่ดีของเขา แล้วเราล่ะ? บ่อยครั้งเราอาจจ้องที่จะทำให้คนบาปกลับใจด้วยกันประณามให้เขาเหล่านั้นอับอาย หรือทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่พระเยซูเจ้าทรงทำให้สิ่งที่แตกต่าง พระองค์ทรงช่วยเหลือคนที่ทำผิดพลาด เพื่อให้เขาเห็นความจริงว่า แท้จริงแล้วพวกเขายังมีค่า สำหรับพระเจ้าเรายังมีค่าเสมอ แม้เคยผิดพลาดไปก็ตาม ขอพระมารดามารีย์ โปรดช่วยเราให้เห็นความดีในผู้อื่น ที่เราพบในชีวิตประจำด้วย “เพื่อเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ หรือมีพรสวรรค์พิเศษใด สิ่งสำคัญที่ต้องกระทำคือ…
เคาะประตู เราคงเคยเห็นภาพวาด ยุควิคตอเรียของศิลปินชื่อ “ฮอลแมน ฮันท์” ชื่อ “แสงสว่าง” แต่เราอาจไม่ได้สังเกตว่า ภาพนี้ต้องการสื่ออะไร ภาพวาดนี้แสดงภาพของพระเยซูเจ้า ในลักษณะที่อ่อนโยน สวมมงกุฎ และเสื้อคลุม พระหัตถ์ถือตะเกียง พระองค์ทรงยืนข้างหน้าประตูไม้โอ๊กบานใหญ่ ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ประตูนี้ไม่มีทั้งลูกบิด และมือจับไม่มีแม้แต่รูกุญแจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิธีเดียวที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปภายในบ้านได้นั้น นอกจากจะพังประตูเข้าไป ซึ่งไม่เหมาะสมแน่นอน คือต้องมีใครสักคนภายในบ้านหลังนั้น พร้อมที่จะเปิดประตูรับพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงต้องการความช่วยเหลือ ความร่วมมือ ชุมชน และพระองค์เองทรงพร้อมที่จะ แสวงหา ขอ และ เคาะประตู อย่างแน่นอน ฮันท์กำลังเตือนใจเราว่า ถ้าพระเยซูเจ้าเองทรงพร้อมจะเคาะประตูบ้านของเรา ย่อมไม่เสียศักดิ์ศรี ถ้าเราจะทำเช่นเดียวกัน เราสมควรใคร่ครวญภาพลักษณ์นี้ของพระเยซูเจ้า คำว่า “เรากำลังยืนเคาะประตู” มาจากหนังสือวิวรณ์ บทที่ 3 ข้อ 20 ซึ่ง พระเยซูเจ้าทรงตรัสแก่เราทุกคน พระองค์ทรงยืนที่หน้าประตูแล้ว ส่วนเราอยู่ในฐานะเจ้าของบ้าน เราได้รับความบรรเทาใจจากคำสัญญาของพระองค์ ว่า “จะเปิดประตูรับเรา” แต่ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเราเช่นกัน ที่ต้องพร้อมจะเปิดประตูรับพระองค์ด้วย พร้อมที่จะเปิดประตูรับผู้ที่มาเคาะ…
เคาะประตู เราคงเคยเห็นภาพวาด ยุควิคตอเรียของศิลปินชื่อ “ฮอลแมน ฮันท์” ชื่อ “แสงสว่าง” แต่เราอาจไม่ได้สังเกตว่า ภาพนี้ต้องการสื่ออะไร ภาพวาดนี้แสดงภาพของพระเยซูเจ้า ในลักษณะที่อ่อนโยน สวมมงกุฎ และเสื้อคลุม พระหัตถ์ถือตะเกียง พระองค์ทรงยืนข้างหน้าประตูไม้โอ๊กบานใหญ่ ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ประตูนี้ไม่มีทั้งลูกบิด และมือจับไม่มีแม้แต่รูกุญแจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิธีเดียวที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปภายในบ้านได้นั้น นอกจากจะพังประตูเข้าไป ซึ่งไม่เหมาะสมแน่นอน คือต้องมีใครสักคนภายในบ้านหลังนั้น พร้อมที่จะเปิดประตูรับพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงต้องการความช่วยเหลือ ความร่วมมือ ชุมชน และพระองค์เองทรงพร้อมที่จะ แสวงหา ขอ และ เคาะประตู อย่างแน่นอน ฮันท์กำลังเตือนใจเราว่า ถ้าพระเยซูเจ้าเองทรงพร้อมจะเคาะประตูบ้านของเรา ย่อมไม่เสียศักดิ์ศรี ถ้าเราจะทำเช่นเดียวกัน เราสมควรใคร่ครวญภาพลักษณ์นี้ของพระเยซูเจ้า คำว่า “เรากำลังยืนเคาะประตู” มาจากหนังสือวิวรณ์ บทที่ 3 ข้อ 20 ซึ่ง พระเยซูเจ้าทรงตรัสแก่เราทุกคน พระองค์ทรงยืนที่หน้าประตูแล้ว ส่วนเราอยู่ในฐานะเจ้าของบ้าน เราได้รับความบรรเทาใจจากคำสัญญาของพระองค์ ว่า “จะเปิดประตูรับเรา” แต่ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเราเช่นกัน ที่ต้องพร้อมจะเปิดประตูรับพระองค์ด้วย พร้อมที่จะเปิดประตูรับผู้ที่มาเคาะ…
พระคัมภีร์…ปกป้องคุณจากบาป เราต้องให้ความคิดทุกอย่างของเรามีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์ เราต้องเริ่มจากพระวาจาของพระเจ้า ไม่ใช่จากวาจาของคนที่มีความเชื่อผิด ๆ เราควรตัดสินสิ่งที่คนอื่นพูดจากพื้นฐานว่าพระเจ้าตรัสอะไร ไม่ใช่จากวิถีทางของผู้อื่น คนที่วิจารณ์พระคัมภีร์ คือคนที่อ่านน้อยที่สุด การที่พระคัมีภร์ไม่เป็นที่นิยมในสมัยปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะรูปแบบที่ล้าสมัย แต่เพราะความจริงในพระคัมภีร์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถประพฤติตัวได้อย่างที่ปรารถนา มนุษย์ไม่ได้ปฏิเสธพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์ขัดแย้งในตัวเอง แต่เพราะพระคัมภีร์ขัดแย้งกับชีวิตของเขา บาปไม่ได้ปกป้องคุณจากพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ปกป้องคุณจากบาป ความรู้ในพระคัมภีร์ทั้งหมดมีค่ามากกว่าการศึกษาในมหาวิทยาลัยเสียอีก ไม่มีใครแก่เกิดไปในการศึกษาพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์จะกว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นตามวัยของเรา จงเปิดพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน อ่านด้วยใส่ใจและเชื่อฟังด้วยใจยินดี เมื่อมีพระวาจาของพระเจ้าเป็นแผนที่ พระจิตเจ้าเป็นเข็มทิศ คุณจึงมั่นใจได้ว่ายังอยู่ในเส้นทางแห่งความรอด และความรักของพระองค์ เชื่อและมั่นคงในพระวาจา แล้วจะไม่หลงทางเลย เราไม่มีวันรู้จักพระคัมภีร์อย่างแท้จริง จนกว่าเราจะปฏิบัติตามพระคัมภีร์ จงอ่านพระคัมภีร์ เชื่อ และกระทำตาม สำหรับคนมีปัญญา พระวาจาของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว เราจะเข้าใจพระวาจาที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยการรู้จักพระวาจาของผู้ทรงพระชนม์อยู่
ทำไมต้องมียางลบ อยู่บนหัวดินสอ บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เพียงเพราะใช้เวลาสั้น ๆ ในการตัดสินนั้นว่า “ไร้สาระ” หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า “ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ” ผมไม่สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่น ๆ ไปว่า “ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั๊ง หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบใช้มั๊ง” เพื่อนของผมก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผมสั้น ๆ ว่า “ไม่ใช่” …. “อ้าว…งั้นก็เพราะอะไรล่ะ” ผมอดที่จะถามไม่ได้ ก็เพราะว่า “คนเราสามารถทำผิดกันได้” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำตอบ และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป โดยไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้น ๆ ของเขาเท่านั้น คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ กลับทำให้ผมเก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง เย็นวันนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์…กดข้อความส่งถึงเพื่อน ๆ ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน “ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ” เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้ แต่จงจำไว้ว่า…เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำ ๆ จนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้” ผมเองยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่คิดต่อจากเพื่อนนั้นถูกต้องหรือไม่ และเพื่อน ๆ ที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า…
นิ้วเราภาวนา การอธิษฐานภาวนา คือ การสนทนากับพระเจ้า การติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์ ซึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่ในบางครั้งเราอาจต้องใช้ “วิธีการ” เพื่อช่วยให้การอธิษฐานภาวนามีชีวิตชีวามากขึ้น เราสามารถอธิษฐานภาวนาโดยใช้บทสดุดีในพระคัมภีร์หรือข้อความในพระวรสาร การอธิษฐานภาวนาแบบห้านิ้ว เป็นวิธีการอธิษฐานภาวนาอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้อื่น นิ้วหัวแม่มือ เมื่อคุณกำมือ นิ้วหัวแม่มือจะอยู่ใกล้ตัวที่สุด ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเพื่อคนที่ใกล้ชิดที่สุดก่อน คนในครอบครัว และคนที่คุณรัก “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้งที่ระลึกถึงท่าน ในการอธิษฐานภาวนาทุกครั้ง ข้าพเจ้าวอนขอพระพรเพื่อทุกท่านด้วยความชื่นชมเสมอ” (ฟป 1 : 3-4) นิ้วชี้ เป็นเครื่องชี้ทาง ในคุณอธิษฐานเพื่อผู้ที่ต้องสอนคนอื่น ทั้งครูบาอาจารย์ และบรรดาพระสงฆ์ นักบวช ที่ทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน “พี่น้องทั้งหลาย จงภาวนาเพื่อเราด้วย” (1 ธส 5 : 25) นิ้วกลาง เป็นนิ้วที่สูงที่สุด ให้อธิษฐานเพื่อผู้ที่มีอำนาจปกครอง ทั้งในพระศาสนจักรและประเทศชาติ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในหน้าที่การงานของคุณ “ข้าพเจ้าขอร้องให้วอนขอ อธิษฐาน อ้อนวอนแทนและขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อมนุษย์ทุกคน และเพื่อผู้มีอำนาจ เราจะได้มีชีวิตที่สงบสุขราบรื่น เป็นชีวิตที่มีเกียรติด้วยความเคารพรักพระเจ้า” (1…
รางวัลของความศรัทธา “ความศรัทธาคือการเชื่อในสิ่งที่คุณยังไม่เห็น และรางวัลสำหรับความศรัทธานี้ คือการได้เห็นในสิ่งที่คุณเชื่อ” นักบุญออกัสติน จดหมายถึงชาวฮีบรูเขียนไว้ว่า “ความเชื่อคือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง…แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะว่า ผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ทั้งในพระคัมภีร์และในประวัติศาสตร์นอกพระคัมภีร์ ที่มีความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริง และยอมเสียสละทุกอย่างตามความศรัทธานั้น แม้่กระทั่งชีวิตของตน อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่ “ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับสิ่งที่ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก …คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา แต่เขายังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ เพราะ พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเราเท่านั้น” ความศรัทธาทำให้คนเราก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น และคนเช่นนั้นจะทำอะไรก็ได้แทบทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีผู้สนับสนุนหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอย่างเช่น บิว ฮิวเลตต์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก กล่าวว่า “นโยบายของเราตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ทั้งชายและหญิงต้องการที่จะมีผลงานที่ดีสร้างสรรค์ และหากสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย พวกเขาก็จะทำเช่นนั้นได้” ถ้ามีใครมีความเชื่อในตัวของเราอย่างจริงใจเช่นนี้บ้าง สิ่งนี้ก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราประสบความสำเร็จได้โดยไม่ยาก ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรามีความศรัทธาในตัวของผู้ใดอย่างแท้จริง ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้นั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่าที่ตัวเขาเองคาดคิด วันนี้ ขอให้เราช่วยกันปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีพลังความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้า และเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นให้เกิดขึ้นได้ ดุจดังคำกล่าวที่ว่า…
คำถามเปลี่ยนชีวิต เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที…เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอเสียที มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย “ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียว เวลาหลับ” ถ้าผ่านไป 5 นาทีแล้วคุณยังคิดไม่ออก นั่นเพราะคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ไหมว่า… ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า… “ทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา” เท่านี้แหละ คำตอบก็มาทันทีว่า “ถ้ามันหดทั้งสองขา มันก็ล้มน่ะสิ” ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่าย หากเราเปลี่ยนมุมมอง หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางขาเดียวกับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน และสามารถชักนำความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้ การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมอง มีผลเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้ คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ เฝ้าบ่นในใจว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย?” การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า “แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า?” การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้ เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหา เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่น ถึงตรงนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา?” แต่อยู่ที่ “ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา?” และ “ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจเขาได้?” ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า “ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้?” หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า…
คนที่มีเมตตาย่อมไม่กลัวความตาย เป็นเวลากว่าพันปี ที่อารยธรรมโรมันเป็นศูนย์กลาง และเป็นเมืองหลวงของยุโรป ประวัติศาสตร์และผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สะท้อนอยู่ในทุก ๆ สิ่งตั้งแต่มหาวิหาร ไปจนถึงหลุมฝังศพ ลอร่า โดนาโต อาจารย์ชาวโรม และนักโบราณคดีได้กล่าวว่า “กรุงโรมในมุมมองของประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่หาได้ยากจากที่อื่น เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องชี้ให้เห็นว่า การเรียนประวัติศาสตร์นั้นสำคัญ ฉันพยายามแสดงให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ศิลปะ หรือประวัติศาสตร์ทั่วไป หรือนักโบราณคดีเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้จินตนาการถึงสิ่งที่แตกต่างในอนาคต” ศิลปะและขนบธรรมเนียมโบราณ มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ในสุสานใต้มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เมื่อมองไปที่สุสาน และหลุมศพของทั้งชนต่างศาสนา และชาวคริสต์ เห็นได้ชัดเจนว่า คริสตชนมีมุมมองที่แตกต่าง และมีความหวังมาก เมื่อดูที่การตกแต่งของคริสตชนในยุคแรก บนโลงศพ บนผนังภายในห้องเล็ก ๆ ที่ขุดหลุมฝังศพ หรือสุสานของชาวคริสต์ จะเห็นได้ว่า ได้รับแรงบันดาลใจ จากความคิดเรื่องความสุข ในชีวิตหลังความตายเช่น เรื่องผู้เลี้ยงที่ดี เรื่องโยนาห์ หรือการฟื้นคืนชีพของลาซารัส รวมทั้งสิ่งตกแต่งต่าง ๆ มากมาย ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสถึงแนวคิดนี้ว่า…
พระคุณของพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าคือ ลมปราณของพระเจ้า เป็นลมปราณที่ทำให้อากาศเคลื่อนไหว เป็นออกซิเจนของพระเจ้าสำหรับบรรดาอัครสาวก เป็นอากาศที่สร้างความกระปรี้กระเปร่าจากสวรรค์ พระคุณของพระจิตเจ้า คือ ลมปราณแห่งชีวิต ที่พระผู้สร้างทรงเป่าเข้าไป ในรูจมูกของมนุษย์คนแรกเพื่อประทานชีวิตแก่เขา (ปฐก 3 : 7) เป็นลมปราณที่พระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ชีพ ทรงมอบแก่อัครสาวก ทำให้พวกเขามีอำนาจช่วยคนบาปให้กลับมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง พระคุณของพระจิตเจ้ามิได้มีแต่ภาพลักษณ์ที่เป็นลมเท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบของลิ้นไฟที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของอัครสาวกแต่ละองค์อีกด้วย ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงทุกวันนี้ ไฟเป็นสัญลักษณ์ของการสถิตอยู่ของพระเป็นเจ้า เช่น ในคราวที่โมเสสแลเห็นพุ่มไม้ลุกเป็นไฟ แต่ไม่มีการเผาไหม้ใด ๆ (อพย 3) ดังนั้น ไฟแห่งพระจิตเจ้า จึงเป็นไฟที่ช่วยเผาผลาญเราจนสะอาดหมดจด และกระจายพลังแห่งพระจิตในตัวเรา ช่วยเราให้ปฏิบัติ “ตามพระคุณของพระจิตได้”
จำฉันได้หรือเปล่า? ก่อนอื่น ขอถามสักหนึ่งคำถามว่า รักพระเจ้าไหม ? รักแล้ว ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี จะรักแต่พระเจ้าแล้วลืมผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา คนที่เราพบปะเจอะเจอในแต่ละวัน แบบนี้เรียกว่ารักพระหรือเปล่า ถ้าเรารักแต่พระเจ้า แต่ลืมเพื่อนมนุษย์ บางทีอาจจะมีคนที่ชอบร้องเพลงให้เราฟังว่า “ยังจำฉันได้หรือเปล่า?” ใครจะรู้ว่า บางทีคนที่เราไล่ตะเพิดไปในวันนี้ เขาอาจจะเป็นพระเจ้าปลอมตัวมา เหมือนขอทานชราที่มาขอเสื้อคลุมจากนักบุญมาร์ตินก็ได้ เราจำพระเยซูเจ้าได้ในผู้ที่สวมเสื้อหล่อเป็นพระสงฆ์ จำได้ในผู้ที่สวมเครื่องแบบเป็นนักบวชชาย – หญิง แต่ผู้ที่เป็นเศษสังคม เขาเป็นพระเยซูเจ้าหรือเปล่า ทำไมพระองค์ถึงโสโครก ไร้การศึกษา ไร้ที่พักอาศัย ไร้ญาติขาดมิตรได้เพียงนี้ เราเคยคิดบ้างไหมว่า การที่เรามีสังคมเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ครอบครัว มีไว้เพื่ออะไร มีไว้เพื่อทะเลากัน ไว้คอยอิจฉากัน แข่งกัน แย่งสมบัติกัน คอยให้เป็นภาระหนักใจ แล้วเรามีคนจนอยู่ในสังคมเพื่ออะไร เพื่อคอยมาขอเงินบริจาคจากเรา ทำให้เราเสียไม่ได้ที่จะต้องให้ทาน เพราะกลัวคนอื่นเขาจะว่าใจดำหรือเปล่า คิดให้ดี เราพบว่า การที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ยังมีเวลา ยังตื่นขึ้นมาพบวันใหม่อีกวันหนึ่ง ก็เพื่อจะได้แสดง ความรัก ความเมตตา ให้สิ่งที่ดีแด่คนที่เราต้องเกี่ยวพัน กับเขาในแต่ละวัน ไม่เกี่ยงว่าจะทำได้มาก ได้น้อย…
เริ่มต้นทุกวัน…ด้วยคำขอบคุณพระเจ้า จงอย่ากังวลในสิ่งใด จงอธิษฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ และจงขอบคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เราคุ้นเคยกับการภาวนาขอบคุณพระเจ้าที่โต๊ะอาหาร แต่เราเคยคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นทุกวันบ้างไหม ? การฝึกเช่นนั้นจะช่วยนำเราให้มีท่าทีแห่งความรัก การให้อภัย และความมีเมตตา ทั้งยังช่วยให้เราระลึกได้ว่าที่จริงแล้ว แม้แต่ในขณะนี้ ความสุขก็ห้อมล้อมเราอยู่… เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการขอบคุณพระเจ้า สำหรับเรื่องธรรมดา ๆ ในชีวิตที่นำความสุขยิ่งใหญ่มาให้ ขอบคุณพระองค์สำหรับงานอันสุจริต และมีประโยชน์ ตลอดจนทักษะความสามารถในการทำงานนั้น ๆ ขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งสารพัดที่พระองค์ประทานให้ เพื่อตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักของครอบครัวและเพื่อน ๆ และขอบคุณพระองค์สำหรับลมหายใจแห่งชีวิต การกล่าวขอบคุณเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการนับพระพรของคุณ
ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนดี กาตาลีนา รีวาซ (Catalina Rivas) ชาวโบลีเวียเธอคือผู้ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าได้สื่อสารกับพระเยซูเจ้า แม่พระ และเทวดามาตั้งแต่ ค.ศ. 1993 โดยได้รับการยืนยันรับรองจากพระสังฆราชเรอเน เฟอร์นันเดซ อาปาซา และต่อไปนี้คือถ้อยคำเกี่ยวกับศีลอภัยบาปที่เธอได้รับมา “ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี กลับบ้านเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจ” (ลก 15:4-8) “ในวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม เราเดินทางไปที่เมืองโคซูเม เพราะได้รับเชิญให้ไปพูดในที่ประชุมสัมมนา พระองค์ทรงสั่งให้ข้าพเจ้าส่งสารถึงหญิงสาวคนหนึ่งว่า “เราได้รอเธอมานานมากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เธอจะกลับใจและยอมมอบตนแก่เรา” เธอคือหญิงสาวที่แสวงหาผู้ให้คำแนะนำฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อขอสารภาพบาปตลอดชีวิตที่ผ่านมา เมื่อเธอตั้งใจจะสารภาพบาป เธอถึงกับหลั่งน้ำตาและองค์พระผู้เป็นเจ้าขอให้ข้าพเจ้าช่วยเธอ เราได้พูดคุยกันจนกระทั่งพระสงฆ์มาถึง เมื่อทั้งสองเดินออกจากห้องไปยังที่โปรดศีลอภัยบาป ขณะที่เดินอยู่นั้น ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ มีผู้คนจำนวนมากมายอยู่รายรอบตัวเธอ มีอยู่สิบหรือสิบสองคนที่อยากเดินตามเธอเข้าห้องดังกล่าว ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นสิ่งนั้น และเข้าใจทันทีว่า เป็นประสบการณ์อัศจรรย์ ข้าพเจ้าจึงเริ่มสวดภาวนา ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพูดดัง ๆ เคล้าเสียงดนตรีตามจังหวะกลอง ซึ่งชวนให้น่าตกใจยิ่ง อีกด้านหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนคณะนักร้องกำลังขับร้องเพลง…
พระดำรัสก่อนสิ้นพระชนม์ พระดำรัสสุดท้ายของพระเยซูเจ้ามีความสำคัญมาก ขณะที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน ท่ามกลางความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พระเยซูเจ้าตรัสกับใครบ้าง 1. พระเยซูเจ้าตรัสกับพระบิดา เพื่อทูลขอการยกโทษแก่คนที่ทำผิดต่อพระองค์ (ลก 23:34) และทรงฝากจิตวิญญาณไว้กับพระเจ้า (ลก 23:46) 2. พระเยซูเจ้าตรัสกับโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ (ลก 23:43) 3. พระเยซูเจ้าตรัสกับพระมารดาและสาวกของพระองค์ (ยน 19:27) 4. พระเยซูเจ้าตรัสกับทหารโรมัน (ยน 19:28) 5. พระเยซูเจ้าตรัสกับพระองค์เอง (ยน 19:30) เจ็ดประโยคสำคัญ : ขณะที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสประโยคสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดแห่งพระวาจา 1. การยกโทษให้แก่ศัตรู แม้ถูกใส่ร้ายป้ายสี ตบหน้า ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ ถูกเฆี่ยน ถูกทรมาน ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลก 23:34) 2. พระสัญญา ขณะถูกตรึงบนไม้กางเขน โจรคนหนึ่งหมิ่นประมาท แต่อีกคนหนึ่งขอรับการยกโทษบาป พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่า “วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองสวรรค์”…
คำขอที่ไม่เคยถูกปฏิเสธ พระเยซูคริสตเจ้าและพระมารดามารีย์ได้รับเชิญไปงานมงคลสมรส ที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาตรัสแก่พระบุตรว่า “พวกเขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” คำพูดประโยคนี้ พระนางตั้งใจขอพระบุตรให้บรรเทาความเดือดร้อนของคู่บ่าวสาว เพราะเครื่องดื่มไม่มีแล้ว พระเยซูตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย ทำไมท่านและเราต้องมากังวลกับเรื่องนี้ ยังไม่ถึงเวลาของเรา” พระองค์หมายถึงเวลาแห่งการเทศนาทั่วแคว้นยูเดียและการทำอัศจรรย์ คำตอบของพระองค์ดูจะเป็นการปฏิเสธคำร้องของพระนางมารีย์ พระคัมภีร์กล่าวถึงความอ่อนหวานแห่งความเมตตากรุณาของพระนางมารีย์ พระคัมภีร์กล่าวถึงความอ่อนหวานแห่งความเมตตากรุณาของพระนางมารีย์ เหล้าองุ่นหมดแล้ว คู่บ่าวสาวเดือดร้อน ไม่มีใครของร้องพระนางมารีย์ให้พูดกับพระบุตรของพระแม่เพื่อช่วยปลอบใจเจ้าภาพในเวลาคับขันอับจน นักบุญเบอร์นาดีนแห่งเซียนนา กล่าวว่า “ดวงพระทัยของพระนางมารีย์อ่อนหวานสงสารผู้ที่เป็นทุกข์ พระนางจึงสวมตำแหน่งของผู้บรรเทาทุกข์โดยไม่มีใครขอร้อง พระมารดาวิงวอนพระบุตรโปรดทำอัศจรรย์ โดยไม่มีใครขอร้อง พระแม่ยังช่วยขนาดนี้ และถ้ามีใครขอร้อง พระแม่จะช่วยขนาดไหน” นักบุญคริสโตสโซม กล่าวว่า “พระบุตรทรงยอมแพ้ต่อความปรารถนาของพระมารดา แม้พระองค์ตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ แต่พระองค์ทรงทำตามคำขอร้องของพระมารดาพระนางพารีย์พูดกับคนรับใช้ว่า “จงทำตามที่ท่านสั่ง” พระเยซูเจ้าตรัสสั่งให้เติมน้ำเต็มโอ่ง น้ำเปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นดีเลิศ เจ้าบ่าวและทุกคนในครอบครัวดีใจ ให้เราพิจารณาถึงความสำคัญของพระนางมารีย์ในการขอหรรษทานจากพระเจ้าเพื่อเราในคราวจำเป็น และด้วยความเอื้อเฟื้อเห็นอกเห็นใจพระนางมารีย์พร้อมเสมอที่จะช่วยเราทุกเมื่อทุกขณะ” นักบุญโบนาเวนตูรา กล่าวว่า “พระองค์ทรงฟังคำวิงวอนทุกประการของพระนาง บุญกุศลของพระนางยิ่งใหญ่ต่อหน้าพระเจ้า จนคำวิงวอนของพระนางไม่เคยถูกปฏิเสธ คำวิงวอนของพระนางไม่เคยถูกปฏิเสธ คำวิงวอนของนักบุญทั้งหลายเป็นคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่คำวิงวอนของพระนางมารีย์เป็นคำวิงวอนของพระมารดาพระเจ้า ซึ่งนักปราชญ์ของพระศาสนจักรเห็นพ้องว่า เป็นเหมือนคำบัญชาของพระบุตรผู้ทรงรักพระมารดาอย่างอ่อนหวานลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่คำวิงวอนของพระนางมารีย์จะถูกเมินเฉย นักบุญลอเรนซ์ กล่าวว่า “พระบุตรได้ให้พระมารดาของพระองค์มีส่วนร่วมในพระฤทธานุภาพของพระองค์…
การไม่จดจำที่เป็นพร หลายครั้งเวลาที่เราตั้งใจจะเดินไปอีกห้องเพื่อทำอะไรสักอย่าง แต่พอมาถึงเรากลับลืมว่าจะมาทำอะไร เกเบรียล แรดแวนสกี้ ซึ่งเป็นนักวิจัยเสนอคำอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า ประตูทำหน้าที่เป็น “ขอบเขตของสถานการณ์” เธอทำการทดลองที่แตกต่างกัน 3 แบบ แบบสรุปเป็นทฤษฏีว่า เมื่อเราเห็นประตู สมองจะส่งสัญญาณว่าให้นำข้อมูลที่สมองจดจำไว้เก็บไปเสีย หลายครั้งเรารู้สึกหงุดหงิด เมื่อต้องพยายามคิดให้ออกว่าเรามาห้องนี้เพื่อทำอะไร แต่การหลงลืมก็อาจเป็นพระพรคือ เมื่อเราปิดประตูห้องนอนในตอนกลางคืน และเตรียมตัวนอนหลับ เป็นพระพรที่จะได้ลืมความกังวลของวันนั้น เมื่อเราคิดถึงความจริงที่ว่า พระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็น “ประตู” คอกแกะ (ยน 13: 7,9) มุมมองใหม่ต่อคำอุปมานี้ เมื่อแกะเข้าคอก มันได้เข้าสู่ที่ปลอดภัยที่จะปกป้องมันจากขโมยและผู้ล่า สำหรับผู้เชื่อ พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ทรงเป็นประตูระหว่างเรากับศัตรูของเรา เมื่อเราเข้าสู่คอกแกะ เราสามารถ “ลืม” อันตรายและการคุกคามทั้งสิ้น เราสามารถมีความสุขที่พระองค์ทรงอภัย และไม่จดจำความบาปของเรา และได้พักอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของผู้เลี้ยงที่ดีและยิ่งใหญ่ ขอบพระคุณพระบิดาสำหรับสันติสุขในจิตใจ ที่มาจากการได้รู้ว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเรา ขอทรงช่วยให้เราพักพิงอย่างมั่นคง ในการปกป้องของพระองค์
นักบุญวีตุส, วีตัส, วิทู ตามประวัติมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 นักบุญวีตุสเป็นนักบุญโบราณในยุคที่จักพรรดิโรมันเบียดเบียนคริสตชน ท่านเป็นมรณสักขีในยุคนั้น เพราะตามประวัติท่านถูกทรมานอย่างโหดร้าย (ภาพคริสตศิลป์ เป็นภาพท่านอยู่ในหม้อต้มทรมาน) แม้ถูกทรมานมากมายท่านก็ยืนหยัดความเป็นคริสตชน ท่านเป็นที่เคารพอย่างมากในยุโรปกลาง แถบประเทศลัตเวีย, เช็ก, ออสเตรีย เยอมันตอนใต้ และรวมไปถึงโครเอเชียและอิตาลีด้วย ท่านได้รับการยกย่องเป็นองค์อุปถัมภ์ของนักเต้น นักแสดงตลกและความบันเทิง (เพราะมีประวัติว่า มีการเต้นรำก่อนปั้นรูปท่านในบางประเทศ) นอกจากนี้ยังเป็นองค์อุปถัมภ์การป้องกันภัยอันตรายจากฟ้าฝ่า และผู้ป่วยโรคประสาท (ชื่อท่านเป็นส่วนหนึ่งของโรคชักกระตุกชนิดหนึ่งด้วย เนื่องจากนำนานการเต้นรำนั่นเอง) ความงดงามภายในโบสถ์นั้นมากกว่าภายนอกหลายเท่านัก ทั้งซุ้มโค้ง เสา รูปปั้นนักบุญต่าง ๆ และที่สำคัญคือภาพเฟรสโก (การวาดภาพบนปูนเปียก) เก่าแก่แต่ยังคงความงดงามอย่างเห็นได้ชัดมากมาย
เลียนแบบพระคริสต์ นักมายากลต่างศาสนาได้พระคัมภีร์มาเล่มหนึ่ง เขาจึงอ่านเรื่องราวมหัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า อย่างร้อนรน แล้วนักมายากลคนนี้ก็ตัดสินใจเลียนแบบพระคริสต์และขอรับศีลล้างบาป ขณะเดินทางไปวัด เขาเห็นขบวนแห่ศพกำลังเคลื่อนผ่านมา เพื่อเลียนแบบพระคริสต์ เขาสั่งให้ขบวนแห่ศพหยุด แล้วเดินไปที่หีบศพ ผู้ตายเป็นเด็กคนหนึ่ง นักมายากลกล่าวเวทย์มนต์คาถาของเขา ทันใดนั้นคนตายก็กลับมีชีวิต แล้วเขาก็เดินทางต่อไป เมื่อเขาเข้าไปในหมู่บ้าน เขาเห็นคนยากจนมากมายร่วมชุนนุมกันอยู่ คนเหล่านั้นมีเพียงขนมปัง 5 ก้อน เป็นอาหาร นักมายากลจึงเดินหาคนเหล่านี้แล้วทวีขนมปังให้โดยใช้เวทย์มนต์ของเขา เขาดีใจและมีความสุขมาก เพราะเขาเลียนแบบพระคริสต์ได้อีกแล้ว ที่สุดเขาก็ไปถึงแม่น้ำ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับวัด เขาท่องคาถาแล้วก็เดินไปบนน้ำ เขาพอใจมากที่เขาเลียนแบบพระคริสต์ได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว “ฉันได้เลียนแบบพระคริสต์แล้ว” เขากล่าวกับตัวเอง “ตอนนี้ฉันสามารถเป็นคริสตชนได้แล้ว” เมื่อนักมายากลต่างศาสนาไปถึงวัดแล้วเขาก็ไปพบพระสงฆ์ และกล่าวว่า “คุณพ่อครับ ผมอยากเป็นคริสตชนครับ” “ลูกรู้ไหมว่า การเป็นคริสตชนนั้นหมายความว่าอย่างไร?” คุณพ่อถาม “แน่นอนครับคุณพ่อ” เขาตอบอย่างมั่นใจ “ผมได้เลียนแบบอัศจรรย์ของพระคริสต์ ผมทำให้คนตายกลับมีชีวิตใหม่ ได้ทวีขนมปัง และได้เดินบนผิวน้ำมาแล้ว” “ไหนลูกลองบอกพ่อหน่อยซิ” พระสงฆ์กล่าวอย่างอ่อนโยน “ลูกสามารถรักศัตรูของลูก รับใช้เพื่อนมนุษย์ แบกกางเขนของลูก และปฏิเสธตัวเองได้ไหม” “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ!” ชายต่างศาสนาค้าน “มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำดังนั้น” “แต่นั่นคือความหมายของการเป็นคริสตชน” พระสงฆ์ตอบ…
ประสบการณ์แห่งศรัทธา กับพระมารดามารีย์ สตรีในชุดขาว : คุณพ่อชานินาดผู้ก่อตั้งคณะ Marianistes ผู้ซึ่งอุทิศตนเป็นพิเศษต่อพระนางมารีย์ ท่านเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1751 และสิ้นใจเมื่อปี 1850 ท่านและพี่ชายของท่านสองคนได้บวชเป็นพระสงฆ์ ท่านมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อพระมารดา และพระราชินีสวรรค์ ได้ประทานพระหรรษทานมากมายแก่ท่าน ซึ่งหลายครั้งเป็นอัศจรรย์ที่แท้จริง ในช่วงที่ยังอยู่บ้านเณร ทำได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ครั้งหนึ่ง ระหว่างเดินขึ้นเขา มีก้อนหินตกลงมาทับเท้าของท่านจนไม่สามารถเดินได้ ท่านได้อ้อนวอนต่อพระนางมารีย์ด้วยความไว้วางใจ โดยสัญญากับแม่พระว่า ถ้าพระแม่มารีย์รักษาท่านให้หาย ท่านจะไปขอบคุณแม่พระที่สักการสถาน ที่เวสเลย์และเมื่อเท้าของท่านหายดี ท่านก็ออกเดินทางทันที เป็นระยะทาง 80 กิโลเมตร เมื่อท่านบวชเป็นพระสงฆ์เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ท่านเดินทางถึงเมืองบอร์โดว์ เพื่อช่วยครอบครัวคริสตชนที่หลบซ่อนตัวอยู่ ไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจใด ๆ ได้ เพราะถูกเบียดเบียน ท่านจำเป็นต้องหลบซ่อนตัวเพื่อหลบหนีตำรวจ ท่านซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ซึ่งสามารถถวายมิสซากับบรรดาสัตบุรุษ หลายครั้งท่านเกือบถูกตำรวจจับแต่ก็หลบหนีได้เสมอ ครั้งหนึ่งตำรวจเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งแม่บ้านกำลังซักผ้า และคุณพ่อก็อยู่ที่นั่นด้วย แม่บ้านมีเพียงถังซักผ้าให้คุณพ่อซ่อนตัว เธอมีไหวพริบดีและเริ่มต้นพูดคุย โดยวางแก้วน้ำไว้บนถังที่คว่ำอยู่เธอเชื้อเชิญให้ตำรวจดื่มกับเธอด้วย และตำรวจก็จากไป อีกครั้งหนึ่ง ตำรวจเข้ามาทางสวน และคุณพ่อซึ่งกำลังพูดคุยกับสัตบุรุษอยู่ ทำให้ไม่มีเวลาหลบซ่อนตัว ตำรวจค้นทุกหนแห่งและเดินผ่านหน้าคุณพ่อไปหลายครั้ง…
เราทุกคนมีทูตสวรรค์ผู้อารักขา ให้เราฟังเสียงของท่านเถิด เราทุกคนมีทูตสวรรค์อยู่เคียงข้างเสมอ ผู้ซึ่งไม่เคยทอดทิ้งหรือทำให้เราต้องหลงทาง และหากเรารู้จักทำตนให้เป็นเหมือนเด็ก ๆ เราก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกประจญเรื่องการอวดตัว หรือยึดมั่นในตนเอง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนให้คิดถึงบทบาทของทูตสวรรค์ ในชีวิตคริสตชนว่าทูตสวรรค์มี 2 ภาพลักษณ์ คือ ทูตสวรรค์และเด็ก หนังสืออพยพ บทที่ 23:20 นำเสนอ “ภาพลักษณ์ของทูตสวรรค์” ว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อช่วยประชากรในการเดินทางรอนแรม “ดูเถิด เราได้ส่งทูตสวรรค์นำหน้าท่าน เพื่อปกปักรักษา และนำท่านไปยังที่ ที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้” พระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 18:10) นำเสนอภาพลักษณ์ที่สองคือ เด็ก บรรดาสานุศิษย์ได้ถกเถียงกันว่าใครเป็นใหญ่สุดในพวกเขา มีการโต้แย้งกันภายในกลุ่มว่าใครเก่งหรือเป็น “มืออาชีพ” มากกว่ากัน พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาสานุศิษย์ถึงทัศนคติที่ถูกต้อง โดยเรียกเด็กคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ และให้ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ทั้งสอนว่าให้ทำตัวเหมือนเด็ก คือมีความอ่อนน้อม ยอมรับฟังคำแนะนำ และความช่วยเหลือเพราะเด็ก ๆ เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนถึงความจำเป็นที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ และความอ่อนน้อมที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า พระสันตะปาปาทรงย้ำพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า ใครที่ถ่อมตนเหมือนเด็ก ๆ จะได้เป็น “ใหญ่ที่สุด” “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ของพวกเขาคอยเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เสมอ” พระสันตะปาปาทรงแนะนำว่า “หากท่านมีทัศนคติความอ่อนน้อมสุภาพ…
นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา โดยทั่วไป คนต่างชาติโดยเฉพาะสตรีในประเทศอินเดีย มักไม่ได้รับการยอมรับทางสังคมเท่าไรนัก ประเทศอินเดียมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมค่อนข้างมาก คนจนเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับสิทธิในสังคมเท่าที่ควร และรวมถึงสิทธิสตรีด้วย ทว่ามีสตรีผู้หนึ่งที่เข้ามากอบกู้ช่วยเหลือชาวอินเดียจำนวนมาก ให้พ้นทุกข์จนได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นพลเมืองของประเทศ ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดี ในฐานะผู้ช่วยเหลือและต่อสู้เพื่อคนยากไร้ ท่านผู้นี้มีนามว่า “คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา” คุณแม่เทเรซามีเชื้อสายบอสเนีย ชื่อเดิมคือ Agnes Gonxha Bojaxhiu ท่านเกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.1910 ที่เมืองสโกเปีย (ปัจจุบันคือเมืองหลวงของมาซิโดเนีย) เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดา ชื่อ นิโกลา และมารดาชื่อ ดราเน ในครอบครัวชนชั้นกลาง บิดาเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดในหลักศาสนา ซึ่งทำให้ตั้งแต่วัยเด็ก อักแนสชอบไปร่วมพิธีมิสซา บิดาของอักแนสเสียชีวิต เมื่อเธออายุ 9 ขวบ แต่ความอบอุ่นภายในครอบครัวไม่ได้ลดลง เพราะมารดายังให้ความรัก ความอบอุ่น และการเลี้ยงดูที่ดีมาตลอด อักแนสเติบโตเป็นเด็กร่าเริง มีสุขภาพดี ต่อมาเธอได้รู้จักประเทศอินเดีย และรู้ว่าอินเดียขณะนั้นระบบสาธารณูปโภคยังล้าหลังอยู่มาก มีคนยากไร้มากมายที่ต้องทนทรมาน เธอเริ่มถามตนเองว่า มีวิธีใดบ้างไหมที่เธอจะช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากในอินเดียและเธอจึงเริ่มคิดที่จะเป็นนักบวช ค.ศ. 1928 อักแนสตัดสินใจขออนุญาตครอบครัวไปเข้าอาราม ตอนแรกครอบครัวคัดค้าน แต่ต่อมาทางครอบครัวก็ยอมให้เธอไปบวช การลาจากครอบครัวของเธอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นหน้าแม่และน้องสาว ค.ศ.…
บทภาวนาสรรเสริญนักบุญเปาโล นักบุญเปาโลอัครสาวกชนต่างชาติ โปรดช่วยก่อเกิดกำลังใจในข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้รักและรับใช้บุคคลรอบข้างและทุกๆคน นักบุญเปาโลผู้กระทำตนเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน ขอแบบอย่างชีวิตของท่าน ผลักดันข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในความเชื่อ ความไว้ใจ และความรัก นักบุญเปาโลผู้ร้อนรนด้วยความรัก โปรดสอนข้าพเจ้าทั้งหลายให้รักความศักดิ์สิทธิ์ ในงานประจำวันทุกชนิด โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายดำเนินชีวิตในความรัก นักบุญเปาโลผู้ติดตามองค์พระเจ้าทั่วทุกแห่งหน ยอมตนเป็นผู้รับใช้ ไม่เคยแม้แต่หมดกำลังใจ ท่านเป็นประจักษ์พยานของพระองค์แก่บุคคลทั่วไป โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายติดตามพระเยซูเจ้า จนถึงที่สุดเช่นเดียวกับท่าน นักบุญเปาโลผู้แพร่ธรรมที่สัตย์ซื่อ ในโลกที่กระหายหาข่าวดี ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภาชนะที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นเดียวกับท่านเพื่อนำข่าวดีไปสู่โลก ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมแห่งความตาย นักบุญเปาโลผู้เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น โปรดปลดเปลื้องทุกข์สิ่งที่หน่วงเหนี่ยวข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ โปรดสถิตอยู่กับข้าพเจ้าทั้งหลายในทุกวันของชีวิต เพื่อให้ชีวิตข้าพเจ้าทั้งหลายดำเนินไปในความรัก นักบุญเปาโลผู้เข้มแข็ง แต่เปลี่ยนด้วยความอ่อนโยน โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้มแข็ง และซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอ ขอพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงค้ำจุนข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไปด้วยเทอญ อาแมน
บทภาวนาวิงวอนขอพระแม่มารีย์ ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ข้าแต่พระแม่มารีย์ พระแม่ทรงส่องสว่างบนเส้นทางของลูกทั้งหลายเสมอ ทั้งเป็นดังเครื่องหมายแห่งความรอดพ้นและความหวัง ลูกทั้งหลายมาขอพึ่งพาอาศัยพระแม่ ผู้ทรงเป็นสุขภาพของบรรดาผู้ป่วย ผู้ประทับอยู่ ณ เชิงกางเขน ทรงอยู่ใกล้ชิดกับความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้า และพระแม่ทรงรักษาความเชื่อไว้ได้อย่างมั่นคง พระแม่ผู้ทรงเป็นความรอดพ้นของลูกทั้งหลาย พระแม่ทรงทราบดีถึงความจำเป็นของลูก และลูกไว้ใจว่าพระแม่จะทรงประทานให้ เช่นเดียวกับที่เมืองคานา แคว้นกาลิลี เพื่อความชื่นชมยินดีและการฉลองจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้ พระมารดาแห่งความรักของพระเจ้า ขอโปรดช่วยลูกทั้งหลาย ให้ลูกได้กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และกระทำสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่ลูก พระองค์ทรงรับเอาความทุกข์ทรมานของลูกไว้กับพระองค์ และโดยอาศัยกางเขน พระองค์ทรงรับความทุกข์โศกเศร้าของลูกไว้ เพื่อนำลูกไปสู่ความชื่นชมยินดีแห่งการกลับคืนชีพ พวกลูกขอหลบภัยภายใต้การคุ้มครองของพระแม่ พระมารดาของพระเจ้า โปรดอย่าทรงเมินเฉยต่อคำภาวนาของลูกทั้งหลาย ผู้กำลังตกอยู่ในการทดลอง และโปรดช่วยลูกทั้งหลายให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง โอพรหมจารี ผู้ทรงเกียรติและทรงบุญยิ่งนัก
บทภาวนาสำหรับครอบครัวต่อนักบุญโยเซฟ ข้าแต่พระบิดาเจ้าสวรรค์ ลูกขอบพระคุณพระองค์ สำหรับของประทานแก่ครอบครัวของลูก และสำหรับความชื่นชมยินดีและพระพรต่าง ๆ มากมาย ที่ลูกได้รับจากสมาชิกในครอบครัว โปรดช่วยลูกให้เห็นคุณค่าความไม่เหมือนใครของแต่ละคน อาศัยคำเสนอวิงวอนของนักบุญโยเซฟ บิดาเลี้ยงของพระบุตรของท่าน ลูกขอท่านโปรดปกปักรักษาครอบครัวของลูก ให้พ้นจากความชั่วร้ายทุกอย่างในโลกนี้ โปรดให้ลูกมีความเข้มแข็งในการให้อภัย เมื่อลูกได้รับความเจ็บช้ำ ให้ลูกมีความสุภาพถ่อมตน ที่จะเป็นฝ่ายขอโทษก่อน เมื่อลูกเป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดนั้น โปรดทรงรวมพวกลูกไว้ ในความรักของพระเยซูเจ้าพระบุตรของพระองค์ เพื่อจะได้เป็นเครื่องหมายของความเป็นพี่น้อง มีพระองค์เป็นพระบิดาของมนุษยชาติทั้งมวล นักบุญโยเซฟ โปรดเสนอวิงวอนเพื่อลูกด้วยเทอญ อาแมน
บทภาวนาในยามต้องการความช่วยเหลือต่อนักบุญโยเซฟ ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟ องค์อุปถัมภ์ของทุกคนที่รับใช้พระเจ้า ด้วยหัวใจที่เรียบง่ายและอุทิศตนอย่างแน่วแน่ โปรดวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เติมเต็มหัวใจของลูกด้วยไฟแห่งความรักของพระองค์ โปรดปลุกสำนึกในลูก ถึงคุณธรรมความซื่อสัตย์ ความเรียบง่าย การมีสัมมาคารวะ และความอ่อนโยน เพื่อลูกจะได้ทอแสงความรักของพระเจ้า แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง โปรดเสนอวิงวอนเพื่อลูก เมื่อเวลาที่ลูกต้องการความช่วยเหลือ ลูกวอนขอ (กล่าวสิ่งที่ต้องการ) ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟผู้มีบุญ โปรดเป็นผู้ปกป้องลูกในชีวิตและคอยบรรเทาใจลูก เมื่อวาระแห่งความตายมาถึงด้วยเทอญ อาแมน
บทภาวนาต่อนักบุญโยเซฟเพื่อขอความช่วยเหลือพิเศษ ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟผู้น่าสรรเสริญ ผู้ติดตามดูแลที่มั่นคงของพระเยซูคริสต์ ลูกเชื่อมั่นว่าคำเสนอวิงวอนของท่านเพื่อลูก จะได้รับฟังและโปรดประทานให้ ณ ที่ประทับของพระเจ้า ลูกขอยกดวงใจและมือขึ้นยังท่าน วอนขอให้คำเสนอวิงวอนที่มีอำนาจของท่าน ให้ลูกได้รับจากพระหฤทัยเมตตาปรานีของพระเยซูเจ้า เพื่อขอพระคุณที่จำเป็นต่าง ๆ ทั้งฝ่ายจิต และฝ่ายกายเพื่อการดำรงชีพในโลกนี้ เฉพาะอย่างยิ่ง พระคุณแห่งการสิ้นใจอย่างสงบ และขอพระคุณพิเศษที่ลูกต้องการในขณะนี้ (บอกสิ่งที่ต้องการขอ) ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟ ผู้พิทักษ์องค์พระบุตรผู้ทรงรับเอากายเป็นมนุษย์ โดยความรักที่ท่านมีต่อพระเยซูคริสต์ และเพื่อเกียรติแห่งนามของท่าน โปรดรับฟังคำภาวนาของลูก และให้ลูกได้รับตามที่วอนขอด้วยเทอญ อาแมน
บทภาวนาต่อนักบุญโยเซฟเพื่อการสิ้นใจอย่างสงบ ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟ ผู้พิทักษ์การสิ้นใจอย่างสงบ ลูกวอนขอท่าน ช่วยวิงวอนเพื่อทุกคนที่กำลังจะสิ้นใจ และอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน เมื่อชั่วโมงแห่งความตายของลูกมาถึง ท่านมีบุญที่ได้ผ่านชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ และในชั่วโมงสุดท้ายของท่าน ท่านได้รับความบรรเทาค้ำชูที่ยิ่งใหญ่ จากพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์ โปรดช่วยลูก อย่าให้ต้องประสบความตายกะทันหันเลย โปรดให้ลูกได้รับพร ในการเลียนแบบการดำเนินชีวิตของท่าน โปรดแยกทุกสิ่งที่เป็นของโลกจากหัวใจของลูก และรวบรวมทรัพย์สมบัติคุณธรรมประจำวัน เมื่อลูกใกล้จะตาย โปรดให้ลูกได้รับพระพร แห่งศีลเจิมคนป่วยอย่างดี และพร้อมกับพระแม่มารีย์ โปรดเติมเต็มหัวใจของลูก ด้วยศรัทธาในความเชื่อ ความวางใจ ความรักและเป็นทุกข์ถึงบาป เพื่อลูกจะได้มอบวิญญาณของลูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายในสันติสุขเทอญ อาแมน
บทภาวนาของผู้ใช้แรงงานต่อนักบุญโยเซฟ ข้าแต่ท่านนักบุญโยเซฟ แบบอย่างของผู้ใช้แรงงาน เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว โปรดวอนขอพระคุณเพื่อให้ลูกทำงาน ด้วยความกตัญญูและด้วยความยินดี โปรดให้ลูกตระหนักว่า ความบากบั่นประจำวันของลูก เป็นโอกาสนำใช้และพัฒนาของประทานต่าง ๆ ของธรรมชาติ และพระคุณที่ลูกได้รับจากพระเจ้า ในสถานที่ทำงาน โปรดให้ลูกเป็นกระจกสะท้อน ถึงคุณธรรมของท่าน ในความซื่อสัตย์ ความรู้จักประมาณ ความอดทน และสันติสุขภายใน โปรดให้ลูกปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงาน ด้วยความใจดีและเคารพต่อเขา ขอให้ทุกสิ่งที่ลูกทำและพูด นำผู้อื่นไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นเกียรติมงคลแด่พระนามของพระเจ้าด้วยเทอญ อาแมน
บทวิงวอนแม่พระฟาติมา ข้าแต่ราชินีแห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ ท่านพรหมจารีแห่งฟาติมา ผู้ทรงปรากฏกายในดินแดนแห่งโปรตุเกส และทรงนำสันติ ทั้งภายใจและภายนอกมาสู่ดินแดนนั้น ลูกวิงวอนพระแม่ ได้โปรดปกปักรักษาประเทศชาติ บ้านเกิดเมืองนอนของลูก ให้มีสันติสุข และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ตามคำสอนของพระเยซูเจ้า ขอโปรดประทานสันติกลับคืนสู่นานาชาติ เพื่อว่านานาชาติและชาติภูมิของลูก จะได้รับความยินดีที่จะถวายเกียรติแด่พระแม่ เป็นราชินีแห่งสันติภาพด้วย ข้าแต่พระแม่แห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ โปรดวิงวอนเพื่อประเทศชาติของลูก ขอพระแม่แห่งฟาติมา โปรดประทานสันติสุขแก่มนุษยชาติด้วยเทอญ อาแมน
ชีวิตไม่ธรรมดาของนักบุญโจน ออฟ อาร์ค นักบุญโจน ออฟ อาร์ค คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา สิ้นชีพเมื่ออายุเพียง 19 ปี เธอเป็นแบบอย่างความนอบน้อมต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเธอไม่ยอมรับภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ ในการปกปักรักษาประเทศฝรั่งเศสในครั้งกระโน้น ชะตากรรมของชาวโลกทั้งมวลคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสถึงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ว่า “นักบุญโจน ออฟ อาร์ค นักบุญสาวผู้มีชีวิตในช่วงปลายยุคกลาง มีอายุเพียง 19 ปี ในปี ค.ศ. 1431 นักบุญชาวฝรั่งเศสท่านนี้ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก เธอมีความพิเศษใกล้เคียงกับนักบุญแคทเธอรีนแห่งเซียอานา องค์อุปถัมภ์ของอิตาลีและยุโรป เธอทั้งสองเป็นหญิงสาวของประชาชน เป็นสตรีฆราวาสผู้อุทิศตน ถือพรหมจารย์ ใช้ชีวิตเฉกเช่นนักพรตผู้ถวายตนทั้งครบเพื่อพระเจ้า แม้ไม่ได้อยู่ในอาราม แต่อยู่ท่ามกลางความเป็นจริงของพระศาสนจักร และของโลกในสมัยนั้นที่ท่านทั้งสองเป็นตัวแทน “สตรีผู้กล้าหาญ” ซึ่งกล้าถือแสงแห่งพระวรสารอันยิ่งใหญ่ ส่องสว่างแก่เหตุการณ์ที่ซับซ้อนและสับสนในประวัติศาสตร์ช่วงปลายของยุคสมัยกลาง พระศาสนจักรในช่วงเวลานั้นดำเนินไปพร้อมกับวิกฤติความแตกแยกร้าวลึกในโลกตะวันออกซึ่งกินเวลายาวนานถึง 40 ปี ในปี 1380 เมื่อแคทเธอรีนแห่งเซียอานาสิ้นชีวิต ไม่เพียงแต่มีพระสันตะปาปาพระองค์เดียว แต่ยังพระสันตะปาปาปลอมด้วย (แอนตี้โป๊ป) นอกจากความวุ่นวายสับสนภายในพระศาสนจักรแล้ว ยังมีสงครามยืดเยื้อเป็นร้อยๆ ปีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษที่รุนแรงและหนักหนามา โจนเกิดที่บ้านดอมเรมี หมู่บ้านเล็ก ๆ…
เหตุใดผมถึงนึกรักพระแม่มารีย์ เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ทันทีที่ตั้งใจรำถึงถึงข้อความพระวรสารตอนที่ว่า “เธอจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชาย” (ลก. 1:31) ผมก็นึกถึงตอนที่ผมเรียนอยู่ปีที่ 3 ในบ้านเณรใหญ่ ในช่วงนั้นกระแสแนวความคิดเรื่องการผ่านกฎหมาย “ทำแท้งเสรี” กำลังเป็นหัวข้อหลักในการวิพากษ์ของสังคม (ปี พ.ศ. 2537) ถึงกับมีบางคนตั้งหัวข้อว่าเป็น “คดีความแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20” ผมนึกถึงเวลาในช่วงนั้นได้เพราะมีการเขียนบทความพาดถึงคริสตศาสนาที่คัดค้านกฎหมายทำแท้งอย่างหัวชนฝาว่า มีเหตุผลมาจากว่า “คริสตศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกมีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์มาก และการตั้งท้องพระเยซูเจ้าก็เป็นเรื่องที่ไม่มีสาเหตุที่มนุษย์คนไหนจะยืนยันได้แจ้งชัด ซึ่ง ณ เวลานั้นถ้าพระนางมารีย์เลือกที่จะทำแท้งแทนการอุ้มท้องจนทารกได้ลืมตาดูโลกแล้ว ก็คงไม่มีคริสตศาสนาอย่างแน่นอน ชาวคริสต์จึงคัดค้านเรื่องกฎหมายการทำแท้งกันอย่างหัวชนฝา” เมื่อผมได้อ่านบทความข้างต้น ผมก็ได้เขียนเหตุผลที่ต่อต้านเรื่องกฎหมายการทำแท้งของพระศาสนจักรไปให้กับทางสำนักพิมพ์ 2 ฉบับ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองอะไร เพียงแต่บทความเรื่องนั้นก็เงียบ ๆ หายไป คิดดูแล้วกัน ! แม้เวลาผ่านมากกว่าสองพันปีแล้ว ก็ยังมีคนเข้าใจพระนางมารีอาผิด ๆ ในเรื่องการตั้งครรภ์ของพระนาง ก็ยังคนดูถูกค่อนแคะการตั้งครรภ์อันเป็นปริศนาของพระนาง คิดถูแล้วกันว่ากระแสแห่งความเข้าใจผิดแห่งการดูถูกค่อนแคะเหล่านี้ จะไม่ยิ่งพัดโหมหนักหน่วงพระนาง เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้วหรือ ในขวบปีนั้นพระนางมารีย์ต้องอาศัยความเชื่อ ความวางใจในพระเจ้า ความสงบหนักแน่น ความอดทน ความกล้าหาญอย่างมหาศาลที่จะยืนหยัดอยู่ให้ได้ ในท่ามกลางกระแสแห่งความสงสัย เข้าใจผิดค่อนแคะเหล่านั้น และแล้พระนางก็สามารถข้ามผ่านวิกฤตการณ์เหล่านั้นมาได้ด้วยพระพรหลายประการ อย่างที่ผมกล่าวถึงแล้วในบทก่อน…
ปรัชญาจากเสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว 1. ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือ การได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น 2. ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้ แล้วแกล้งบอกว่าตนสะอาด 3. ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่หมั่นฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจิหมั่นไส้ของคนอื่น เขาก็จะเป็นคนมีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด มีการศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้ แต่ไม่อวดดีเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง 4. ผ้าขี้ริ้วแม้นว่าจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงาน มิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้เป็นประโยชน์ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะดาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเอง อย่าคอยรอจากคนอื่น 5. ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสางาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน 6. ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าไร้ค่า เป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่เอิบอิ่มเมื่อชีวิตได้บริการรับใช้คนอื่น…
อยากเป็นอะไรในวัด ถามเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งว่า ถ้าให้เลือกได้อยากเป็นอะไรในวัด คำตอบที่ได้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอให้เป็นคริสตชนที่ทำหน้าที่ของตนเอย่างดี แอร์ / พัดลม เพื่อให้ความเย็นของเราทำให้คนอื่นสบาย เมื่อวัดมีแอร์ คนก็ยิ่งอยากมาวัดเพิ่มมากขึ้น และจากคนที่อารมณ์ร้อน ๆ หรือกำลังรู้สึกร้อน เมื่อเข้ามาในโบสถ์ก็จะรู้สึกเย็นลง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือความรู้สึก ดอกไม้ เพราะดอกไม้มีความสวยงาม ดูสดชื่น มีสีสัน ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ใครเห็นใครได้กลิ่นก็จะมีความสุข แม้จะเป็นเพียงแค่ของประดับเล็ก ๆ แต่ก็สามารถสร้างสีสันและความสวยงามขึ้นมาได้ (ขอเป็นเพียงแค่สิ่งเล็ก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจในหลาย ๆ คน) อิเลคโทน เพราะทุกครั้งที่มีมิสซาจะได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เป็นผู้นำในการร้องเพลงมีความสุข เพราะทุกคนต้องร้องตามเรา ถ้าในวัดขาดเสียงเพลงที่ไพเราะคงจะทำให้ใครหลายคนไม่อยากเข้ามา เปียโน เพราะจะได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้า เป็นทำนองที่ชักนำสัตบุรุษให้ร่วมในกันร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผ้าปูพระแท่น เพราะทุกอย่างอยู่บนนั้น รูปปั้นต่าง ๆ เพราะว่าทำให้วัดดูสวยงาม และเป็นที่น่าเคารพ คอยให้กำลังใจแก่ผู้อื่นแม้ไม่เป็นประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่ใคร กลับทำให้วัดดูหลากหลายขึ้น ที่ใส่น้ำเสก เพราะเมื่อทุกคนเข้ามาในวัด เขาจะต้องเข้ามาหาเรา และเมื่อเขาจุ่มน้ำเสกเขาจะรู้สึกว่าเขาบริสุทธิ์ และพร้อมที่จะเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ทำให้เรามีความสุขที่ได้ทำให้เขามีความยินดีที่จะเข้าไปหาพระบิดาเจ้า ทั้งของเราและของเขา…
ผลของการสวดสายประคำ คุณพ่อชวลิต กิจเจริญ แปลจาก Queen of all Hearts เดือนมีนาคม – เมษายน ค.ศ. 2006 ความศรัทธาต่อการสวดสายประคำ ดูจะเป็นเอกลักษณ์ของชาวคาทอลิก และดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เราจะเข้าหาพระมารดาของพระเจ้า ด้วยจิตตารมณ์แห่งความเชื่อ เป็นต้นในเวลาที่เราขัดสน บ่อยครั้งชาวคาทอลิกเมื่อจบมิสซาแล้ว ก็ยังสวดสายประคำต่อไป เพราะความศรัทธาที่ลึกซึ้งต่อการสวดสายประคำ ชาวคาทอลิกจำนวนมากยอมรับและมีประสบการณ์ส่วนตัวว่าพระมารดาได้ช่วยพวกเขาจริง ๆ นี่เป็นเรื่องราวของสตรีผู้หนึ่ง ที่เล่าประสบการณ์ของตน ดิฉันได้กลับใจรับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิกในปี ค.ศ. 1958 แต่ไม่เคยมีความรู้สึกอยากสวดสายประคำ เพราะดิฉันเคยบอกแม่ทูนหัวว่า ดิฉันไม่จำเป็นต้องสวดสายประคำ เพราะสามารถสวดขอพระเยซูเจ้าโดยตรง ท่านเพียงแต่ยิ้ม ๆ เท่านั้น แต่ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ดิฉันก็ซื้อสายประคำสายหนึ่ง และได้พยายามเรียนรู้บทสวด และข้อรำพึงรหัสธรรมทุกข้อ และภายในหนึ่งเดือน ดิฉันก็สวดสายประคำทุกวัน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ดิฉันได้มีโอกาสเห็นและได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการสวดสายประคำ ดิฉันไม่ทราบแน่ว่าเป็นอัศจรรย์จริงหรือเปล่า และดิฉันไม่เคยคิดจะตัดสินตามคำอธิบายด้านเทววิทยา สิ่งที่ทำได้คือเพียงแต่เล่าเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น อัศจรรย์ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 กับบุตรชายของดิฉัน อายุ 3 เดือน…
“คริสตชนไม่มีแม่พระ ก็คือเด็กกำพร้า” พระดำรัสสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน ปีที่แล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเป็นประธานในการภาวนาร่วมกับกลุ่มเยาวชนของสังฆมณฑลโรม หน้าถ้ำแม่พระเ มืองลูร์ด ในสวนวาติกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เริ่มในสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ก่อนวันสมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล และแม้จะเปลี่ยนสมณสมัยแล้ว พระสันตะปาปาฟรังซิส ก็ยังทรงให้ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม การภาวนาเริ่มขึ้นช้าไปเกือบ 15 นาที ทันทีที่มาถึง พระสันตะปาปาทรงกล่าวขอโทษทุกคนที่ต้องมานั่งรอพระองค์ พระสันตะปาปาตรัสขอโทษทุกคนว่า “พ่อขอโทษจริงๆ ที่พ่อมาสาย พ่อยังอยากย้ำว่า การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในสังคม” จากนั้น พระสันตะปาปาตรัสแบ่งปันกับทุกคนว่า “ทุกวันนี้ พ่อเศร้าใจมากเมื่อได้ยินคริสตชนบางคนพูดว่า พวกเขาไม่แสวงหาแม่พระ หรือไม่สวดขอพระเจ้าผ่านแม่พระ พ่อจึงอยากเล่าเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดใน ค.ศ. 1970 พ่อได้พูดคุยกับคู่รักเยาวชนคู่หนึ่งที่เล่าให้พ่อฟังเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า พวกเขาพูดว่า “การอุทิศตนให้แม่พระอย่างนั้นหรือ เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว เรารู้จักพระเยซูเจ้าเป็นอย่างดี ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องพึ่งแม่พระ” วินาทีนั้นเอง พ่อคิดในใจทันทีว่า โอ้… เด็กกำพร้าที่น่าสงสาร! เพราะคริสตชนที่ไม่มีแม่พระก็คือเด็กกำพร้า เช่นเดียวกัน คริสตชนที่ไม่มีพระศาสนจักรก็เป็นเด็กกำพร้าเช่นกัน เพราะเราเป็นคริสตชนต้องการสตรี…
พระแม่เจ้าแห่งน้ำตาที่เมืองซีรากุส เมืองซีรากูซา หรือ ซีรากุส (Syracuse) เป็นเมืองอยู่ในเกาะซิซิลี (Sicily) ทางใต้ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1953/พ.ศ. 2496 กรรมกรคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง อายุ 27 ปี ชื่อ อันเจโล ยานุสโซ (Janusso) แต่งงานกับ น.ส. อันโตนีนา จุสโต (Giusto) อายุ 20 ปี ในบรรดาของขวัญที่สองสามีภรรยาได้รับในวันแต่งงาน มีรูปแม่พระชี้ให้ดูดวงหทัยนิรมล เป็นรูปกลมรีทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ผู้ที่ให้ของขวัญชิ้นนี้คือ อันโตนีโอ น้องชายของ อันเจโล อันโตนีนา มิใช่คนศรัทธาในเรื่องศาสนานัก ส่วนอันเจโลก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ในประเทศอิตาลีนั้น ใครๆก็ชอบมีรูปแม่พระไว้ในบ้าน ดังนั้นสองสามีภรรยที่แต่งงานใหม่ จึงแขวนรูปแม่พระที่อันโตนีโอให้ไว้ใกล้ ๆ เตียง ต่อมาเดือนสิงหาคม อันโตนีนาตั้งครรภ์ แต่การคลอดจะเป็นไปตามปกติหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากอันโตนีนาป่วยเป็นโรคลมชักบ่อยๆ ทำให้หมดสติ มองไม่เห็นและพูดไม่ได้ชั่วขณะ บางครั้งสภาพป่วยของภรรยาทำให้อันเจโลเดือดดาล แล้วเขาก็หันไปโทษรูปแม่พระซึ่งแขวนอยู่ที่กำแพง…
พลังแห่งการภาวนา…พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง จิม จอห์นสัน รับหน้าที่ใหม่ในการฟื้นฟูโรงแรมที่อยู่ในขั้นวิกฤต หลังจากที่ผู้จัดการคนอื่น ๆ พยายามมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีใครทำสำเร็จโรงแรมนี้ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะไม่ทันการณ์ จิมจึงคิดทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากผู้อื่น… ในทุกคืน เขาขับรถไปยังยอดเขาที่สามารถมองเห็นได้ทั้งโรงแรม และทิวทัศน์รอบเมือง เขาจอดรถและสวดภาวนาเป็นเวลา 20 นาทีทุก ๆ วันเขาภาวนาสำหรับลูกค้า พนักงาน และครอบครัวของเขา เขาภาวนาสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมกับโรงแรม และสุดท้ายเขาภาวนาสำหรับผู้คน และเมืองแห่งนี้ คืนแล้วคืนเล่า จิมขับรถไปบนยอดเขานั่น เขาจอดรถและภาวนาเช่นเดิมในทุกๆวัน หลังจากนั้นสถานการณ์ของโรงแรมก็เปลี่ยนไป พนักงานเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง มีลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามา โรงแรมกลับเข้าสู่บรรยากาศของความอบอุ่น การบริหารงานดีขึ้น โรงแรมก้าวหน้าขึ้นใหม่อีกครั้ง อย่างเห็นได้ชัด การเกิดใหม่ของโรงแรมนี้ มาจากการภาวนาคืนแล้วคืนเล่าของ จิม จอห์นสัน “หากการภาวนาของชายคนเดียวสามารถพลิกสถานการณ์ของโรงแรมได้ลองคิดดูซิว่าการภาวนาของคนในประเทศหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร” เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่า การภาวนามีบทบาทในชีวิตของเราอย่างไรเราพบการภาวนาในรูปแบบที่ต่างกันซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น ACTS คือ Adoration – การนมัสการสรรเสริญ Contrition – การสำนึกผิด Thanksgiving –…
พระมารดามารีย์ผู้แก้ปม ภาพแม่พระผู้แก้ปม (MARY, Undoer of Knots of Untier of Knots) เป็นภาพวาดสไตล์บารอก โดย Johann George Melchior Schmidtner ชาวเยอรมัน ในราวปี ค.ศ. 1700 ภาพนี้ประดิษฐานอยู่ที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter am Perlach) แคว้นบาวาเรีย สาธารณรัฐเยอรมนี ภาพแม่พระผู้แก้ปมเป็นที่เคารพบูชา และให้เกียรติมากเป็นพิเศษในประเทศอาร์เจนตินา และบราซิล ซึ่งมีวัดหลายต่อหลายแห่งที่ใช้พระนามนี้…ทั้งนี้สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1981 พระสงฆ์เยสุอิตท่านหนึ่ง ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี และได้เห็นภาพนี้จึงได้นำภาพวาดแม่พระขนาดเท่า postcard กลับมายังประเทศอาร์เจนตินาด้วยในปี ค.ศ. 2000 ภาพนี้ได้เดินทางไปถึงยังประเทศบราซิล ซึ่งทำให้ภาพนี้เป็นที่รู้จัก และมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนมีการสร้างสักการสถาน “พระนางมารีผู้แก้ปม” ที่ประเทศบราซิล ซึ่งสถานที่แห่งนี้ต้อนรับผู้แสวงบุญจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบทภาวนาต่อแม่พระผู้แก้ปมในภาษาต่าง ๆ ถึง 19 ภาษา รวมทั้งภาษาอักษรเบรลล์ สำหรับคนตาบอดอีกด้วย ภาพแม่พระผู้แก้ปมนี้ยังได้รับการแกะสลักอยู่บนถ้วยกาลิกส์ ที่พระคาร์ดินัลแบร์โกลิโอ…
พลังแห่งการภาวนา คลื่นพลังงานของการสวดภาวนา เป็นคลื่นพลังงานที่มีผลต่อการทำงานระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ได้ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับระยะทาง (Non Local) งานวิจัยชิ้นสำคัญ ของนายแพทย์ Randolf Byrd, M.D. สรุปว่า การสวดภาวนาสามารถทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือกดที่มีอาการหนักมีภาวะแทรกซ้อนน้อยลงอย่างชัดเจน ถือได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้เลยทีเดียว หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพแบบใหม่เกือบทุกเล่มอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนี้ แม้ว่าจะเป็นที่ฮือฮา และถือว่าเขย่าวงการแทพย์ค่อนข้างมากแค่ไหนก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ก็ยังเป็นที่กังขาของบรรดาแพทย์จำนวนมากที่ “ไม่เชื่อ” และหลายคนก็พยายามอธิบายว่า อาจจะเป็นผลทางอ้อมในแง่ของจิตวิทยาของผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า ที่เกิดอาการ “ใจขึ้น” เมื่อมีผู้มาคอยสวดมนต์ให้ ก็เลยทำให้เกิดผลการรักษาที่ดีกว่าแบบนั้น แพทย์หญิง Elisabeth Targ, M.D. จิตแพทย์ในระบบ และเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ “ไม่เชื่อ” และ “สงสัย” ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในงานทดลองของคุณหมอ Byrd เธอเติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ ที่คุณพ่อเป็นนักออกแบบงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เรียนมาในกรอบระบบของการแพทย์ ที่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ และ “พระเจ้า” ที่ครอบครัวนี้เชื่อว่ามีจริงก็คือ “วิทยาศาสตร์” เท่านั้น แต่ด้วยความสงสัย และมีเหตุการณ์พอเหมาะพอเจาะหลายเรื่องในช่วงนั้น (1980) ที่ทำให้เธออยากจะติดตามในประเด็นดังกล่าวนี้ เพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านม ได้โทรมาปรึกษาเธอถึงเรื่องทำนองนี้ และประเด็นเรื่องสาขาวิชา Psychoneuroimmunology …
ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง 8 ประการ เป็นผู้มีจิตใจยาก นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ แสดงออกด้วยความอ่อนน้อมและถ่มตน นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ รู้จักที่จะร้องไห้เสียใจไปกับผู้อื่น นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ มีความหิวและกระหายหาความถูกต้อง นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ มองเห็นและแสดงออกด้วยความเมตตา นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ รักษาดวงใจให้เป็นอิสระจากความรักที่ไม่บริสุทธิ์ นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ หว่านสันติสุขไปทั่วทุกแห่ง นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ ยอมรับหนทางแห่งพระวรสารทุกวัน แม้ว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตนเอง นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ จากพระสมณสาส์นเตือนใจของพระสันตะปาปาฟรังซิส “จงชื่นชมและยินดีเถิด” การเรียกให้นำไปสู่ “ความศักดิ์สิทธิ์” ในโลกยุคปัจจุบัน 9 เมษายน ค.ศ. 2018
ลี้ภัยในพระแม่ “จงลี้ภัยในพระมารดามารีย์ เหตุว่าพระแม่คือนครแห่งผู้ลี้ภัย เราทราบว่าโมเสสได้ตั้งนครขึ้นสามนคร เพื่อให้เป็นที่ลี้ภัยของผู้ใดก็ตาม ที่ฆ่าเพื่อนบ้านโดยมิได้ตั้งใจ พระนางมารีย์ คือ สถานที่ลี้ภัยและความหวังของผู้ตกในบาป และการประจญ” “เราไม่อาจคิดถึงพระแม่ โดยที่พระแม่มิได้คิดถึงพระเจ้าแทนเราได้ และเราก็ไม่สามารถสรรเสริญถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยไม่คิดถึงพระแม่ผู้ถวายเกียรติ และสรรเสริญพระเจ้า” “พระมารดามารีย์ มุ่งสิ่งที่แม่ทุกคนทุ่มเทให้แก่ลูกของตนมายังเราแต่ละคน พระแม่ทรงรักเรา ดูแลเราปกป้องคุ้มครองเรา และอธิษฐานภาวนาเพื่อเรา” “ผู้ที่ปรารถนาจะปกป้องดวงใจของตน มิให้ถูกความชั่วรบกวน ควรฝากดวงใจไว้กับพระนางมารีย์ พระมารดาของเรา แล้วเขาจะได้ดวงใจนั้นกลับคืนมาในพระอาณาจักรสวรรค์ เป็นดวงใจที่ปราศจากความชั่วใด ๆ ทั้งสิ้น” “เป็นบุญของผู้ที่มอบตัวไว้ในพระหัตถ์ของพระนางมารีย์ ชื่อของเขาถูกจารึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว ในชีวิตจิตและในการแพร่ธรรมของเรา ให้เราทำงานร่วมกับพระนางมารีย์ เหตุว่าการกระทำดังนี้จะช่วยให้ทุกสิ่งง่ายขึ้น และแน่นอนรวดเร็ว พร้อมทั้งนำความชื่นชมยินดีมาสู่เรามากยิ่ง ๆ ขึ้น” “ดวงใจของพระมารดามารีย์ ผู้ทรงความดีของเรานั้น เปี่ยมด้วยความรัก และความเมตตา พระนางมิได้หวังสิ่งใดนอกจากความสุขของเรา ขอให้เราเพียงแต่วอนขอพระนาง แล้วพระนางก็จะทรงตอบสนองคำวิงวอนของเรา” “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพอพระทัยในความถ่อมตนของพระนางมารีย์ เดชะพระคุณความดีของพระนาง พระองค์จึงทรงมอบให้พระนางดูแลพระวจนาตถ์ พระบุตรแต่พระองค์เดียวของพระองค์ และพระนางนั่นเอง คือผู้ที่มอบพระองค์ให้แก่เรา”
หวังและวางใจ ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความพากเพียรอดทนอย่างเพียงพอ เพื่อจะได้สามารถ คอยความหวังในอนาคตที่จะมาถึง เพื่อจะได้สามารถ ปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดฝัน เพื่อจะได้สามารถ ยอมรับผู้ที่จะเข้ามารบกวนจิตใจข้าพเจ้า เพื่อจะได้สามารถ มีชีวิตท่ามกลางการมีขอบเขตจำกัด โปรดประทานความกล้าหาญที่จำเป็น เพื่อจะได้สามารถ เป็นมิตรกับผู้ที่ไร้มิตร เพื่อจะได้ยอมรับ และสมหวังกับความไม่สมหวัง เพื่อจะได้ยอมรับกับคำติเตือน เพื่อจะได้สามารถเชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ โปรดประทานพระปรีชาญาณที่ขาดมิได้ในชีวิต เพื่อจะได้สามารถให้คุณค่าแก่สิ่งที่ผู้อื่นเห็นว่าไร้ค่า เพื่อจะได้สมารถยอมรับในสิ่งที่ไม่สมารถอธิบายได้ในแต่ละวัน เพื่อจะได้สามารถมีจิตตารมณ์แห่งการเรียนรู้ และพร้อมเสมอที่จะวางใจในพระญาณสอดส่องของพระองค์ อาแมน
จูบของ “โป๊ป” ชุบชีพเด็กหญิง เด็กหญิง จิแอนนา มาสเซียนโตนิโอ ลืมตาดูโลกเพียงไม่กี่สัปดาห์ แพทย์ได้ตรวจพบเนื้องอกขนาดใหญ่ในก้านสมองของเธอ ซึ่งไม่มีหนทางใดรักษา หรือผ่าตัดเอาออกมาได้ แพทย์ได้แนะนำ นายโจอี้ กับ นางคริสเตน มาสเซียนโตนิโอ ส่งลูกเข้า “ห้องพักผู้ป่วยระยะสุดท้าย” ของโรงพยาบาลเมโมเรียล สโลนเคตเตอริงแคนเซอร์ เซนเตอร์ นครนิวยอร์ก รวมทั้งให้เตรียมตัว “ทำใจ” ต่อการสูญเสีย และการจากไปสู่ปรโลกของลูกน้อย ที่จะมีลมหายใจอยู่ได้อีกไม่นาน พอดีในปีนั้น ค.ศ. 2015 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เสด็จเยือนนครฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา สองสามีภรรยา จึงขออนุญาตคุณหมอพาลูกน้อยไปรับเสด็จ…ขณะขบวนรถของพระองค์เสด็จผ่าน พระองค์ได้ทรงหยุดอยู่ตรงหน้าครอบครัว มาสเซียนโตนิโอ หน่วยองครักษ์ได้ช่วยนำหนูน้อยจิแอนนา และยกขึ้นให้พระองค์ประทาน “จุมพิต” ที่ตรงศีรษะ เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับไปยังโรงพยาบาล เพื่อรอ “วาระสุดท้ายของชีวิต” 15 เดือนต่อมา ครอบครัวได้รับแจ้งข่าวว่า เนื้องอกดังกล่าวมิใช่มะเร็ง มันเริ่มฝ่อและหดเล็กลงอย่างปาฏิหาริย์ ปัจจุบันหนูน้อย จิแอนนาอายุได้ 5 ขวบ ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี และเจริญเติบโตขึ้นอย่างเด็กหญิงปกติทั่วไป….ด้วยความเชื่ออย่างสิ้นสุดจิตใจว่าของทุกคนในครอบครัว…
พระมารดาแห่งความเงียบ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงรับรองการถวายตัวแด่ “พระมารดาแห่งความเงียบ” คุณพ่อเอมิเลียโน อันเตนุชชี ได้กล่าวหลังจากเข้าเฝ้าฯ พระสันตะปาปาเป็นเวลานานถึง 40 นาทีเมื่อเดือนที่แล้วว่า พระสันตะปาปาตรัสว่า “ผู้ถวายตนแด่พระมารดาฯ เป็นผู้มีงดงามอย่างยิ่ง” ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่นักบวชจะต้อง ปฏิบัติอยู่แล้ว นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังทรงเข้าร่วมกับคณะกาปูชินเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งคณะกาปูชินได้ถูกพิจารณา ให้เป็น “ตัวแทน” ของผู้ถวายตัวที่มีความรักอย่างสัตย์ซื่อที่สุด ต่อพระมารดาฯ คุณพ่อเอมิเลียโนพูดอย่างสบายใจว่า “นั่นคือโครงการที่ดีที่สุดในอนาคต แต่ตอนนี้เราขอเก็บเงียบไว้ก่อน” แล้วท่านยังกล่าวอีกว่า “พระสันตะปาปาทรงยื่นพระหัตถ์ออกและปกมือเหนือศีรษะของพ่อที่กำลังคุกเข่าอยู่ ท่านขอพรจากพระจิตเจ้าแด่พ่อ เพื่อให้พ่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในแผนการการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่ดีของการพูด แบบไม่คิดถึงผลเสีย” คุณพ่อได้กราบทูลแก่พระสังฆราชถึงเรื่องราว และการถวายตัวแด่พระมารดาแห่งความเงียบ แด่สมเด็จพระสันตะ ปาปาทรงทราบ และท่านมีพระดำรัสกลับมาว่า “พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ทำต่อไป” สิ่งนี้คือแผนการของพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำผ่านบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกสรร คุณพ่อเล่าให้เล่าฟังว่า ภาพดั่งเดิมของพระมารดาแห่งความเงียบนั้น ได้จัดทำโดยคุณพ่อเอมิเลียโน ในปี ค.ศ. 2010 และได้ลุล่วงในอีก 9 เดือนถัดมา ซึ่งภาพที่เห็นนี้เป็นผลงานที่รังสรรค์ ของภคินีคณะเบเนดิกตินแห่งซาน จูเลียดอร์ตา ในแคว้นโนวาร่า ประเทศอิตาลี ท่านมิใช่ผู้ที่ถวายนี้แด่สมเด็จพระสันตะปาปาอย่างที่หนังสือพิมพ์อิตาลีได้ลงไว้ แต่เป็นพระปรีชาญาณของ พระเป็นเจ้าต่างหากที่ทรงนำทางท่านให้เป็นผู้ถวายภาพพระมารดาแห่งความเงียบแด่พระสันตะปาปา…
พระนางมารีย์ ราชินีแห่งสันติภาพ สิ่งที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เมดจูกอร์เร (Medjugorje) ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เรื่องเริ่มด้วยว่า เด็ก 6 คน วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกตกใจลงมาจากเนินเขาเล็กๆ กลับมายังบ้าน เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่พวกเขาเพิ่งได้ประสบมา คือประสบการณ์ที่ได้เห็นแม่พระ ทนายคนหนึ่งรู้สึกประทับใจเรื่องการประจักษ์ที่เมดจูกอร์เรเล่าว่า การประจักของราชินีแห่งสันติภาพและสารของแม่พระ ที่ส่งต่อมายังมนุษย์โดยผ่านทางเด็กๆ นั้น เป็น “ปรากฏการณ์แห่งศตวรรษ” ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1981 เมดจูกอร์เร เป็นเมืองเล็กๆ ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มีประชากรเพียง 200 – 300 คน แต่หลังจากนั้นเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้เปิดตัวให้คนทั้งโลกรู้จัก มีผู้แสวงบุญหลายล้านคนแห่กันมาที่เนินเขาขรุขระ สำหรับพวกวัตถุนิยมคงเห็นว่าเมืองนี้ไร้คุณค่า ไม่น่าสนใจ พื้นดินก็แห้งแล้ง มีแต่ก้อนหินท่ามกลางพงหนามที่แสนจะร้อนระอุแสงแดดที่แผดเผา แต่ทว่าเมดจูกอร์เรกลายเป็นความหวังของผู้คนที่สิ้นหวัง เพราะปัญหาสารพัดรุมเร้า ผู้คนทุกสีผิวจากหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่ดาราภาพยนตร์จนถึงกรรมกร พากันรวมตัวกันที่วัดนักบุญยากอบ หรือเนินเขา Podbrdo หรือ เนินเขา Krixevae สถานที่สำคัญ 3 แห่งของเมดจูกอร์เร เป็นสถานที่หลบภัยทางจิตวิญญาณ…
หัวใจของคริสตศาสนา รวมถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย สัมพันธ์แนบแน่นกับความเชื่อเรื่องการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไถ่บาปของมนุษย์ และการกลับคืนพระชนมชีพนั้นก็เป็นการนำเอาชีวิต และวิญญาณจิตกลับมาสู่มนุษย์อีกครั้ง คริสตศาสนิกชนโยงความตายกับแนวคิดเรื่องบาปว่า ความตายเป็นผลจากบาปของมนุษย์ หรือเป็นราคาที่มนุษย์ต้องจ่ายเพราะฝ่าฝืนน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ราคาของบาป คือความตาย” คำว่า “ความตาย” นี้ไม่ได้หมายถึง ความตายทางเนื้อหนังร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่การที่ต้องพัดพลาดจากสิ่งที่รัก และการต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก รวมทั้งความวิปโยคโศกเศร้าทั้งมวลที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์นั้น ก็ถือว่าเป็นความหมายของความตายด้วยเช่นกัน ตามคติของคริสตศาสนา ทุกคนเกิดมามีวิญญาณจิตและมีบาปติดตัวมาด้วย ซึ่งดำเนินไปในเนื้อหนังร่างกายของตนจนสิ้นอายุขัยที่พระเจ้าทรงประทานให้ ทุกคนต้องตายทางร่างกายครั้งหนึ่ง ส่วนวิญญาณจิตจะดำเนินต่อไปเป็นนิรันดร โดยไม่ต้องอาศัยเนื้อหนังร่างกายอีกต่อไป ดังนั้นช่วงเวลาที่วิญญาณจิตของมนุษย์ดำเนินไปในเนื้อหนังร่างกายนี่แหละ เป็นช่วงสำคัญและมีค่าที่สุด คริสตศาสนิกชนในระยะแรก ขยายแนวคิดเรื่องครอบครัว และวงศ์ญาติ ครอบคลุมถึงพระศาสนจักรโดยถือว่าบรรดาคริสตศาสนิกชนด้วยกัน ล้วนเป็นเพื่อน หรือญาติพี่น้องที่จะต้องตายจากกันด้วยในที่สุด เพื่อรอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และมีชีวิตอันนิรันดรอีกครั้ง ในพระอาณาจักรแห่งพระองค์ ความคิดเรื่องการฟื้นคืนชีพนี้คาดว่า ทำให้บรรดาคริสตศาสนิกชนนิยมการฝังมากกว่าการเผา แม้จะมีผู้แย้งว่า อันที่จริงในอดีต ชาวยิวที่ยังไม่ได้เข้ารีต ก็ทำพิธีศพด้วยการฝังโดยจะเก็บกระดูกไว้ในโถ เนื่องจากความเชื่อที่ว่าผู้ตายจะฟื้นคืนชีวิตใหม่ในภายหลัง แนวคิดของคริสตศาสนิกชน เรื่องการฝังนี้เข้ามาแทนที่การเผา ซึ่งเดิมเป็นที่นิยมในอาณาจักรโรมันดังพบว่าในระยะต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 เมื่อขุดหลุมศพของชาวโรมัน จะพบแต่เถ้ากระดูก เมื่อล่วงเข้ากลางศตวรรษ บางหลุมศพก็จะเป็นเพียงกระดูก ขณะที่บางหลุมเป็นเถ้ากระดูก และสุดท้ายเมื่อถึงปลายศตวรรษที่…
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 212 ปีที่ 36 เดือนมีนาคม – เมษายน 2017/2560
นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 221 ปีที่ 37 เดือนกันยายน – ตุลาคม 2018/2561
นักบุญปาตริก หรือ เซนต์แพทริค ธรรมทูตและองค์อุปถัมภ์แห่งไอร์แลนด์ นักบุญปาติก หรือ เซนต์แพทริค เป็นธรรมทูตและองค์อุปถัมภ์ของประเทศไอร์แลนด์ เชื่อกันว่าท่านคงเกิดในประเทศอังกฤษ ท่านถูกพวกโจรสลัดไอริชจับ และถูกขายไปเป็นทาสในประเทศไอร์แลนด์ เมื่อท่านสามารถหลบหนีไปได้ ท่านก็ยังมีความคิดและอุดมการณ์ว่าจะต้องทำให้ชาวไอริชกลับใจให้ได้ ท่านได้เข้าเป็นฤๅษีที่เมืองตูรส์ ได้รับการศึกษาที่เมืองโอก์แซร์ เป็นศิษย์ของนักบุญแยร์มาโน ท่านได้ไปเยี่ยมพวกฤๅษีในประเทศอิตาลี ต่อมาได้เป็นพระสังฆราชในประเทศไอร์แลนด์ ท่านได้พยายามจัดตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้น โดยให้เข้ากันได้กับสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พวกเขาอยู่ และท่านเองต้องการมีนักบวชเป็นชาวพื้นเมืองด้วย แม้จะมีอุปสรรคและความยากลำบากต่าง ๆ มากมาย แต่งานแพร่ธรรมของท่านก็ได้รับผลสำเร็จอย่างงดงาม เห็นได้จากการที่ประเทศไอร์แลนด์ได้เป็นแผ่นดินของบรรดานักบุญเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว และเป็นแหล่งกำเนิดบรรดาธรรมทูตสำหรับทวีปยุโรป ประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ส่งบรรดาพระสงฆ์ และฆราวาสของตนมากกว่า 60% ให้ไปเป็นธรรมทูตตามประเทศต่าง ๆ และ Legio Mariae หรือ พลมารีย์ ก็ถือกำเนิดจากประเทศนี้ “พลมารีย์” เป็นองค์กรฆราวาสแพร่ธรรมหน่วยงานหนึ่ง ที่แพร่หลายไปในหลายประเทศ ซึ่งทำงานแพร่ธรรมนำโลก ให้เข้ามาหาพระคริสตเจ้า โดยทางพระแม่มารีย์ วันเซนต์แพทริค St. Patrick’s Day ทุกวันที่ 17 มีนาคม บนถนนโอคอนแนล กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ จะเต็มไปด้วยสีสันของขบวนพาเหรด…
ค.ศ. 1973 ซิสเตอร์อักแนส คัตซึโกะ ซาซากาวะ สมาชิกคณะ Handmaidens of the Eucharist ในยูซาวาได ชานเมืองอาคิตะ ได้ยินเสียงดังมาจากรูปแกะสลักแม่พระ และได้เห็นแม่พระประจักษ์มาในลักษณะของแม่พระแห่งนานาชาติ (ประจักษ์ที่ฮอลแลนด์ใน ปี ค.ศ. 1940) นับเป็นเรื่องปลกที่ซิสเตอร์ได้ยินเสียงจากรูปแม่พระ แต่ยิ่งแปลกกว่านั้นคือ ซิสเตอร์อักแนส หูหนวก ตั้งแต่ตอนปลายฤดูหนาวของปีนั้น หูของเธอค่อย ๆ ไม่ได้ยินเสียง จนกระทั่งหูหนวกในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ 1973 ซึ่งเป็นวันครบรอบปีการระลึกถึงการค้นพบที่ซ่อนของคริสตชนที่นางาซากิ ในปี ค.ศ. 1865 ชีวิตของซิสเตอร์อักแนสเป็นดัง “วิญญาณที่ร่วมทุกข์กับพระเจ้า” ตั้งแต่เกิด (เธอคลอดก่อนกำหนด) เธอได้รับความทุกข์จากการเป็นอัมพาตเมื่ออายุ 19 เนื่องจากความผิดพลาดในการผ่าตัดไส้ติ่ง แต่หลังจากที่เธอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์จากลูร์ด อาการต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและหายดีในที่สุด เธอได้รับกระแสเรียกครั้งแรกให้เข้าอารามที่นางาซากิ ในปี ค.ศ. 1945 (สถานที่ถูกระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่ 2) ไม่เพียงแต่ได้รับความทุกข์จากโรคภัย…
ความทุกข์ การรับใช้และจิตอธิษฐานภาวนาของพระนางมารีย์ เป็นแรงบันดาลใจสำหรับเรา ราลฟ์ วอลโด เอเมอร์สัน นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวว่า “ความต้องการอันดับแรกของเราคือ ใครสักคนที่จะทำให้เราทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้” ความต้องการอันดับแรกของเราไม่ใช่การค้นหาใครบางคนที่จะช่วยบอกเราว่าเราควรทำอะไร แต่คือค้นหาใครบางคนที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำสิ่งที่เรารู้ว่าเราควรทำอะไร คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา เคยกล่าวว่า “การภาวนาขยายหัวใจให้ใหญ่ขึ้น จนกระทั่งสามารถรองรับพระเจ้า ผู้ประทานพระองค์เองแก่เราได้ การอธิษฐานภาวนาบังเกิดผลเช่นนี้สำหรับพระนางมารีย์ และสามารถบังเกิดผลเช่นนี้สำหรับเราได้เช่นกัน ดังนั้น พระนางมารีย์จึงเป็นบุคคลสำคัญสำหรับเราเป็นพิเศษ เพราะพระนางมารีย์ทรงเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเรา เราเห็นคุณสมบัติสามประการได้อย่างชัดเจนในตัวพระนาง คือความทุกข์ทรมานที่พระนางรับอย่างกล้าหาญ การรับใช้ผู้อื่นด้วยความยินดีและการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เพราะเหตุนี้ พระนางมารีย์จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เรารับแบกกางเขนของเราอย่างอดทน เหมือนที่พระนางเคยแบกกางเขนของพระนาง เป็นแรงบันดาลใจให้เรารับใช้ผู้อื่นด้วยความยินดี เหมือนที่พระนางเคยรับใช้และพระนางเป็นแรงบันดาลใจให้เราภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เหมือนที่พระนางเคยอธิษฐานภาวนา และถ้าเราเลียนแบบพระนางทั้งสามด้านนี้ วันหนึ่งเราจะได้ชื่นชมยินดีร่วมกับพระนางในสวรรค์เบื้องหน้าพระตรีเอกภาพเหมือนที่พระนางทรงกำลังชื่นชมยินดีอยู่ในเวลานี้
วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เวลา 11.00 น. เครื่องบิน บี29 ของสหรัฐอเมริกา ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 44,000 ราย และผู้คนอีกประมาณกว่า 40,000 ราย เสียชีวิตในอีกสี่เดือนถัดมา เพราะผลของกัมมันตภาพรังสีจากแรงระเบิดครั้งนั้น เช้าวันนั้น Dr. Paul Takashi Nagai (ค.ศ. 1908 – 1951) นักรังสีวิทยาและคณบดีคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนางาซากิ กำลังทำงานอยู่อีกฟากหนึ่งของสันเขา ซึ่งไม่ไกลกันนักกับศูนย์กลางการระเบิด และบริเวณเหนือขุนเขานั้น คือที่ตั้งของชุมชนคาทอลิกขนาดใหญ่ แรงระเบิดส่งผลโดยตรงกับชุมชนคาทอลิกบนยอดเขา เขตคาทอลิกนางาซากิมีความสำคัญมากสำหรับพระศาสนจักรในตะวันออกไกล ในปี ค.ศ. 1945 มีคาทอลิกมากกว่า 12,000 คน เกือบทั้งหมดเสียชีวิตเพราะแรงทำลายล้างของระเบิด ณ บริเวณศูนย์กลางการระเบิดเป็นที่ตั้งของอาสนวิหารพระนางมารีย์ ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยคริสตชนผู้มีความเชื่อ ซึ่งกำลังต่อแถวรอรับศีลอภัยบาป สำหรับการเตรียมฉลองวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ที่ใกล้มาถึง บ้านของ Dr. Nagai อยู่ไม่ไกลจากอาสนวิหาร เขารีบกลับมาที่บ้าน และได้พบเพียงถองเถ้าถ่านและชิ้นส่วนของกระดูก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา…
คารวียะ คือ ผู้ที่พระศาสนจักรประกาศให้เป็นคริสตชนตัวอย่างที่ควรค่าแก่การเคารพยกย่องซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญ คารวียะ ดาเนียลลา ซาเนตตา (Venerable Zanetta) ดาเนียลลาเติบโตมาพร้อมกับโรคผิวหนังชนิดรุนแรง โดยไม่มีหวังว่าจะรักษาให้หายขาดได้ เธอต้องรับการทำแผลที่ทำให้เจ็บปวดมากวันละสามชั่วโมง ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายครั้ง และที่นั่นเองเธอได้ดูแลเด็กๆ ที่เจ็บหนักกว่าเธอ เธอพยายามดำเนินชีวิตเช่นคนปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อาศัยความช่วยเหลือจากผู้ปกครองของเธอ เธอไปโรงเรียน แจ่มใสร่าเริงและกระตือรือร้น แม้ร่างกายจะอ่อนแอ เธอทุ่มเทให้กับชุมชนคาทอลิกด้วยการสอนคำสอน ในปี ค.ศ. 1973 เธอได้รู้จักกลุ่มโฟโคลาเร เธอรักและปกป้องทุกชีวิต เธอเขียนจดหมายตอบโต้การประชุมของแพทย์ที่สนับสนุนการทำการุณยฆาตด้วยบทความที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Famiglia Cristiana โดยกล่าวว่า “ฉันป่วยเป็นโรคผิวหนังที่ทำให้เป็นแผลทั่วร่างกาย ฉันอาจดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่ฉันไม่ใช่ ไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิต 22 ปีบนกางเขน แต่ฉันเชื่อในพระเจ้า และฉันรักพระองค์มาก ฉันขอบคุณพระองค์ที่ให้ชีวิตแก่ฉัน เพราะทุกวันใหม่ที่พระองค์มอบให้แก่ฉัน เป็นโอกาสอีกครั้งที่ฉันจะรักและรับใช้พระองค์ ฉันไม่ได้เสียสติที่รู้สึกว่าความทุกข์ทรมานเป็นของขวัญอันล้ำค่าจากพระเจ้า เป็นประสบการณ์ตรงที่เปี่ยมด้วยน้ำตา เพราะฉันมั่นใจว่าทุกสิ่งเป็นผลจากน้ำพระทัยและความรักของพระองค์… ชีวิตคือความสวยงาม… ในความเจ็บปวด สวรรค์และแผ่นดินรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมนุษย์มีส่วนร่วมในพระทรมานของพระคริสต์ และทำให้การไถ่กู้มนุษย์ชาติสำเร็จไปพร้อมกับพระองค์” เมื่ออาการทรุดหนักลง เธอได้แจกจ่ายเงินออมอันน้อยนิดที่มีให้แก่คนยากจน เธอลาโลกนี้ไปพร้อมรอยยิ้มในปีค.ศ. 1986 ขณะมีอายุเพียง 23 ปี…
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงรับรองคุณธรรมขั้นสูงของบุคคล 4 คน ซึ่งต่อจากนี้พวกเขาจะมีคำนำหน้าว่า “ผู้ควรเคารพ” และดำเนินเรื่องต่อไปนี้เพื่อจะเป็นบุญราศี และนักบุญในอนาคต หนึ่งใน 4 คนนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นผู้อยู่ในกระบวนการพิจารณาสู่การเป็นนักบุญของพระศาสนจักรคาทอลิกที่มีอายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน หนุ่มน้อยคนนี้มีชื่อว่า คาร์โล อาคูติส (Carlo Acutis) คาร์โลเป็นชาวอิตาเลียน เกิดที่ลอนดอนในปี ค.ศ. 1991 พ่อแม่กลับมาอยู่มิลาน ภายหลังที่เขาเกิดไม่นานนัก เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนของเยสุอิตที่มิลาน คาร์โลได้ยึดแบบอย่างของนักบุญ 6 องค์ดำเนินชีวิตและชอบแสวงบุญโดยเฉพาะที่อัสซีซี ต่อมาคาร์โลถูกตรวจพบว่า ตนเองเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด เมื่อรู้ดังนั้นเขากล่าวกับครอบครัวว่า “ผมขอถวายความเจ็บปวดทรมานนี้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า แด่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และแด่พระศาสนจักร” คาร์โลได้ใช้สื่อจากโลกออนไลน์ เพื่อเขียนเว็บไซด์ขึ้นหนึ่งปีก่อนเขาเสียชีวิต เว็บไซต์นี้รวบรวมอัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิทจากทั่วโลก ที่เขาต้องการจะไปแสวงบุญแต่ด้วยสภาพร่างกายไม่พร้อม จึงไม่สามารถทำตามคำขอได้ คาร์โลเสียชีวิตที่เมืองมอนซ่า ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2006 ด้วยวัยเพียง 15 ปี ศพของเขาถูกนำไปฝังที่เมืองอัสซีซีตามความต้องของเขา ที่อยากอยู่ที่เมืองของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี หลังจากนั้นไม่นานพระสังฆราชและพระคาร์ดินัลที่ทำงานในมหาวิหารนักบุญเปโตร…